Wednesday, November 01, 2006

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (2)

“ป๊ะ ม๊ะ อานีได้ตัดสินใจแล้ว” นี้คือถ้อยคำแรกที่ฉันพูดกับพ่อแม่ หลังจากที่เงียบหายไปหลายวัน ในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พ่อกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ และแม่กำลังปักเสื้อ

พ่อถามว่า “ตัดสินใจอะไรหรือ ?” ทั้งพ่อและแม่ก็มองหน้ากันฉันตอบไปว่า “ก็เรื่องผู้ชายที่พ่อกับแม่ ได้เลือกไว้” ทั้งพ่อและแม่มองหน้าฉัน เหมือนจะรู้คำตอบให้ได้

การตัดสินใจของฉัน เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุด เท่าที่สติปัญญาฉันพอมี เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป ก็คือ จังหวะก้าวต่อไปของชีวิตฉันบนเส้นทางสายใหม่ สายที่จะต้องมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนๆ นั้นก็เป็นคนที่ฉันไม่รู้หน้าค่าตามาก่อนเลย

“ถ้าหากว่าสิ่งนี้เป็นตักดีรจากอัลเลาะห์ อานีก็ขอยอมรับในคู่ชีวิตที่ทั้งพ่อและแม่ได้ตัดสินใจเลือกไว้ให้แล้ว” ฉันจบคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ ปนกับความเศร้า และในทันใด น้ำตาฉันก็รินไหลออกมา ตกกระทบบนตักของฉัน

แม่เข้ามานั่งใกล้ฉัน และเข้ามากอดฉัน ฉันก็ไม่เข้าใจว่า ที่แม่กอดนั้นเพราะดีใจที่ฉันได้ตัดสินใจตามและยอมรับที่ทั้งสองได้ตัดสินใจล่วงหน้าแล้ว หรือเข้ามากอดเพื่อต้องการสงบสติอารมณ์ของฉัน

ในท่ามกลางความเงียบพ่อก็พูดออกมาว่า “จงซูโกรเถิด เราหวังว่าอานีจะมีความสุขในชีวิต”

หลังจากนั้นฉันก็เข้าห้อง ปิดตัวเงียบอยู่คนเดียว ไม่สนใจสิ่งใดๆ ภายนอกทั้งสิ้น ฉันรู้ว่าทั้งพ่อแม่ดีใจมากกับคำตอบของฉัน แต่ใครจะรู้บ้างว่า อันตัวฉันนี้รวดร้าวยิ่งนัก กับสิ่งที่กำลังจะเป็นไป ฉันคิดอยู่เสมอว่าแม้ใจฉันจะร้องให้อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ดีกว่าการทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ให้ทั้งสองสบายใจเถิด ส่วนตัวฉันจะเป็นอย่างไรก็ได้

แม่เข้ามาหาฉัน และพูดว่า “แม่จะนัดวันให้ลูกได้พบกับเขาก่อนในเร็วๆ นี้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ รอพบวันนั้นเลยก็ได้” ฉันตอบแม่สั้นๆ เพราะไม่มั่นใจนักว่าหากได้พบกัน บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็ได้ และหากเป็นดังนี้ พ่อกับแม่ก็จะเสียใจอีก

พ่อเข้ามาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพ่อจะได้ยินในสิ่งที่ฉันคุยกับแม่ พ่อพูดกับฉันว่า “ทำไมถึงไม่อยากพบกับเขาก่อน พ่อว่าลูกได้คุยอะไรๆ กับเขาก่อนก็น่าจะดีกว่า”

ฉันตอบพ่อไปว่า “อานีได้สนองตอบต่อความต้องการของทั้งพ่อและแม่แล้ว แล้วทำไมพ่อกับแม่จึงไม่ตามอานีบ้าง” แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความเงียบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเลย..


วันนิกาห์ใจฉันวันนี้รู้สึกสับอลหม่านไปหมด มีความดีใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกเศร้าก็ไม่ได้จางหาย บวกกับความสับสนในชีวิต. ช่างลำบากเหลือเหลือเกินที่จะอธิบายถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายในใจของลูกผู้หญิงเช่นฉัน

ญาติๆ และน้องของฉันนั่งรายล้อมข้างๆ ฉัน พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังชายผู้หนึ่ง ใบหน้าที่คมเข้ม ในมาดขรึม สุขุมและเหยือกเย็น พวกเขานั่งในอีกส่วนหนึ่งของบ้าน พร้อมทั้งพ่อฉัน อีหม่าม และพวกผู้ชายทั้งที่เป็นญาติ และคนแถบบ้านใกล้เรือนเคียง

วันนี้คงเป็นวันสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตฉัน อีกซักครู่ก็จะมีการอิญาบและกอบูล กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขา แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อแม่ ฉันก็ขอมอบหมาย ฉันหวังว่าด้วยการเลือกและการตัดสินใจจากครอบครัวเช่นนี้ จะเปี่ยมด้วยเราะห์มัตจากอัลเลาะห์ตะอาลา

ว่าที่สามีของฉันนั่งหันหน้าเข้าหาพ่อฉัน ซึ่งก็คือพ่อตาของเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ดูท่าทีก็เรียบร้อยมาก เห็นปากเขามุมมิบเหมือนกล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน หลังจากนั้น หลายคนในนั้นก็ผงกหัวตาม เหมือนเห็นพ้องต้องกันในสิ่งที่ได้เอื้อนเอยไป

ทุกคนยกมือดุอาอ ที่ได้อ่านโดยผู้ชายคนนั้น

“อานี เป็นภรรยาของเขาแล้วนะ” เสียงกระซิบจากญาติของฉันคนหนึ่งซึ่งนั่งใกล้ฉันตลอด และโดยไม่ตั้งใจ น้ำตาฉันก็รินไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันสับสนในตัวเองมาก ด้านหนึ่งมีความสุขและดีใจ แต่อีกด้านฉันก็เศร้า และเจ็บปวด แต่จากนี้ไป ฉันก็คือภรรยาของเขา ความรับผิดชอบในครอบครัวทั้งจากพ่อและจากแม่ ก็ได้จบสิ้นลงแล้ว พ่อและแม่ฉันได้ปลดปล่อยภาระทั้งมวลสู่ผู้ชายคนหนึ่ง

“โอ้อัลเลาะห์ จงประทานความสุขให้แก่ครอบครัวฉัน จงประทานลูกหลานที่ดีๆ เพื่อ เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณในศาสนาของพระองค์...” ดุอาอ ของฉัน

ฉันครวญคิดถึงชีวิตในบทบาทใหม่ สถานภาพใหม่ที่ฉันได้รับเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ที่ฉันถูกเรียกว่าเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยสถานภาพนี้ฉันจะต้องรับภาระอยู่ไม่น้อย เป็นภาระเฉกเช่นภรรยาที่ดีทั้งหลายพึงปฎิบัติต่อสามี

“ฉันรับภาระนี้ได้หรือ? ” คำถามของฉันเองที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงอยู่ตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ฉันคงไม่สามารถทำหน้าที่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

“อัสสาลามูอาลัยกุม...” เสียงผู้ชายคนหนึ่ง จากประตูห้องของฉัน หลังจากฉันตอบสลามแล้วเขาก็เข้ามา ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างหน้าฉัน ในขณะที่ฉันไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมา ฉันเพียงมองไปที่ขาเขา และพร้อมกันนั้น ญาติๆ และเพื่อนๆ ของฉันก็พากันเดินออกไป

ฉันรู้สึกเหมือนตัวสั่น และหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และหวาดกลัว แล้วเขาก็นั่งลงข้างหน้าฉัน ส่วนฉันก็ยังไม่กล้า ที่จะมองหน้าเขา ฉันคิดว่าเขาคงรู้ถึงความรู้สึกของฉันในเวลานี้

“ยาฮาบีบี” ถ้อยคำแรกที่ฉันได้ยินจากปากเขา เสมือนหนึ่งต้องการประโลมใจฉัน และให้ฉันมองหน้าเขาฉันพยายามบังคับตนเองให้ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา และในทันใดเขาก็ยื่นมือขวาและจับมือซ้ายของฉัน พร้อมกับบรรจงสวมแหวนทองในมิ้วนางของฉัน

ฉันพยายามบังคับตนเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเรียกเขา “อาบัง” และเราก็สลามต่อกัน จากนั้นฉันก้มลงจูบมือเขา และฉันก็พูดว่า “อานีขอมอบหมายตัวและชีวิตของอานีสำหรับบัง อานีหวังว่าบังจะรับได้ในทุกอย่างจากอานี เท่าที่อานีมีอยู่นี้ ด้วยความอิคลาสจากใจของบัง”

เราจะร่วมกันสร้างชีวิต และร่วมกันก้าวเดินสู่ครอบครัวสากีนะห์” เขาตอบ และให้สัญญากับฉัน นี้คือครั้งแรกที่ฉันได้พบและได้คุยกับสามี ก่อนหน้านี้ฉันเพียงได้ดูรูปเขาที่แม่ให้มา


วันแรกผ่านไป โดยเขากลับบ้าน และพบกันอีกครั้งหนึ่งในวันวาลีมะห์ ในงานเลี้ยงครอบครัวฉันได้จัดอย่างเรียบง่าย แต่ก็ครึกครื้นมาก เพราะญาติพี่น้องทุกคนได้มากันหมด รวมทั้งเพื่อนๆ โดยเฉพาะในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน

ในขณะเดียวกันทั้งญาติพี่น้องฝ่ายสามี รวมทั้งเพื่อนๆ เขา ก็มากันเยอะ เกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ความตั้งใจที่จะทำแบบเรียบง่าย และเล็กๆ ในตอนแรก แต่เมื่อมาถึงวันจริงกลับมากันมาก ทุกคนก็เหนื่อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ฉัน

ฉันสังเกตว่า สามีฉันเป็นคนที่มีบุคลิกภาพและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมาก วันนี้เขาใส่ชุดขาว และเน้นความเป็นท้องถิ่น ดูแล้วช่างเป็นรสนิยมที่หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเขามาก

ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยลืมในการขอดุอาอต่ออัลเลาะห์ ให้ประทานสามีที่ดี สามีที่สามารถเป็นผู้นำในการประคับประคองชีวิตฉันให้ก้าวเดินบนทางที่เที่ยงตรง ทางที่ได้รับการยอมรับจากพระผู้อภิบาล เขาคนนั้นจะต้องรักฉันในฐานะภรรยาฉันไม่เคยคิดอยากได้คนที่มีฐานะ หรือคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เหมือนกับที่เพื่อนๆ ฉันเขาเห่อกัน และมุ่งมั่นอยากจะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนฉันไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ฉันขอเพียงให้เขาคนนั้นเป็นคนที่มีศาสนา และมีความสุขร่วมกันกับฉัน บนพื้นฐานของความพอดี พอมี และพอเพียง

และไม่เคยลืมดุอาอให้ฉันได้ลูกที่ซอและห์ เพื่อเป็นองค์ประกอบที่สุดพิเศษในครอบครัว เสียงอาซานมักริบ จากมัสยิดในหมู่บ้านดังกังวานไปทั่ว ปลุกความรู้สึกของพวกเราทุกคน ให้ต้องละทิ้งภารกิจอื่นใดทั้งปวง

แม้ว่าในตอนนี้แขกเรื่อกลับไปหมดแล้ว แต่การจัดข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น และคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการเคลียร์ทั้งหมด

“เราค่อยมาจัดภายหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ไปละหมาดกันก่อน” เสียงของพ่อจากในบ้าน บอกกับพวกเรา

ในห้องโถงของบ้าน ฉันเห็นน้องๆ ของฉันกุลีกุจอกันปูเสื่อและผ้าสะญาดะห์ ซึ่งก็เป็นบรรยากาศปกติภายในบ้านของฉัน เมื่อใดก็ตามแต่ที่ทุกคนกลับมาบ้านและอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เราก็จะละหมาดร่วมกัน

นี้คือสิ่งที่ครอบครัวฉันได้ถือปฏิบัติเรื่อยมา

ทุกคนพร้อมในที่ละหมาดแล้ว คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่ช้ากว่าเพื่อน และเมื่อฉันพร้อม ก็เข้าร่วมในแถวสุดท้ายร่วมกับแม่และน้องสาว น้องชายฉันอีกอมะห์เสร็จ พ่อก็บอกให้สามีฉันขึ้นไปเป็นอีมามนำละหมาด ตอนแรกดูเขาไม่กล้าขึ้นไป แต่เมื่อเขามองหน้าฉัน และฉันก็ผงกหัวให้ เขาก็เดินขึ้นนำละหมาดทันที

No comments: