Saturday, December 23, 2006

ฉันได้รู้ว่า...

Photobucket - Video and Image Hosting

ฉันได้เรียนรู้ว่า... บางครั้งสัตว์ยังทำให้หัวใจเราอบอุ่นได้ดีกว่าคนเสียอีก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ผู้หญิงทุกคนอยากได้รับดอกไม้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยากล่อมประสาทที่ดีที่สุดคือ สติสัมปชัญญะนั่นเอง

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้นอนอยู่บนหญ้าเขียว ไม่ว่าจะอยู่ในทุ่งแห่งใด ก็ให้ความรู้สึกที่ดีได้ทั้งนั้น

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การฟังเพลงเบาๆในยามที่เราเศร้าโศกนั้น ช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจให้เบาบางลงไปได้อย่างมากมาย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณหาเงินได้มากขึ้นได้ แต่ไม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า...หากเราละเลยความผูกพันกับพ่อแม่แล้วไซร้ เราจะหวนให้คิดถึงท่านเจียนตายยามเมื่อท่านจากไป

ฉันได้เรียนรู้ว่า... อย่ากอดรัดลูกให้แน่นเกินไป มันอาจจะกลายเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้รักและถูกรัก เป็นความรื่นรมย์อันยิ่งใหญ่สุดในโลก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณอาจรักใครบางคน ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบเขามากมายก็ได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่าความเกลียดชัง นั่นคือความเมินเฉย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... แม้ฉันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่อย่างเจ็บปวดเสมอไป

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ความเอื้ออาทรนั้นสำคัญกว่า ความเพียบพร้อมบริบูรณ์เสียอีก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การลืมสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั้น สำคัญพอกับการจดจำสิ่งที่ดีงามเอาไว้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การคาดเดานั้นมักจะเลิศหรูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันไม่อาจคาดหวังผู้อื่นให้แก้ปัญหาของฉันได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... เมื่อสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา คุณจะปล่อยให้มันสร้างความขมขื่นใจให้คุณ หรือใช้มันเป็นพลังทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นก็ได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราปล่อยให้มันผ่านไปได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากต้องการคำตอบที่ดี ก็ควรถามคำถามที่ดีด้วย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ระดับความมั่นใจในตัวเองของคนคนหนึ่ง จะเป็นตัวเองของระดับความสำเร็จของเขาด้วย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... อาจจะมีใครที่รักคุณอย่างจริงจังอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกให้คุณรู้ได้อย่างไร

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ในที่สุดแล้วผู้รับจะเป็นผู้แพ้และผู้ให้นั่นแหละคือผู้ชนะ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเรียนรู้ที่จะให้อภัยนั้น ต้องการการฝึกฝน

ฉันได้เรียนรู้ว่า... คนเราไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ โดยไม่รู้จักการลงมือทำ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... เคล็ดลับของการเติบโตอย่างสง่าผ่าเผย คืออย่าหมดความกระตือรือร้นที่จะพบพาผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เป็นเรื่องยากกว่าที่ฉันเคยคิดเอาไว้มาก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเยียวยารักษามิตรภาพที่บอบช้ำนั้น ทำเมื่อไหร่ก็ไม่สาย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ชีวิตจะเติมเต็มไม่ได้ หากปราศจากเพื่อน

สี กับตัวคุณ


วิเคราะห์สี วิเคราะห์ใจของคุณ (อาจจะถูกหรือผิดก็ได้)

**มะนาว(เขียวอ่อน)** คุณเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น แต่เป็นคนที่เครียดง่าย คุณมักจะเป็นคนที่ขี้อิจฉา และมักจะขี้บ่นเสมอ แต่คุณก็มีความรับผิดชอบที่ดี และดูเหมือนคนรอบข้างดูจะรักและไว้ใจคุณเป็นอย่างมากทีเดียว
** เงิน ** คุณเป็นคนช่างคิด และขี้อาย และชอบที่จะลองสิ่งแปลกๆใหม่ๆเสมอๆ คุณชอบที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณเป็นคนหัวไวพอควร เรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว ความรักของคุณมักจะเจอแต่เรื่องที่ต้องมาขัดใจเสมอๆ
** ดำ ** คุณเป็นนักท้าทาย และมีความอดทนทีเดียว แต่คุณไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เมื่อคุณได้ตัดสินใจอะไรบางสิ่งแล้ว คุณก็จะยึดมั่นความคิดนั้นไว้ตลอด ความรักของคุณก็ค่อนข้างดูแปลก และท้าทายทีเดียว
**เขียวมะกอก** คุณเป็นคนที่อบอุ่น และมักจะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย คุณไม่ชอบความรุนแรงและรักความยุติธรรม คุณเป็นคนใจดี และร่าเริง แต่อย่าอิจฉาใครคนอื่นให้มากนักล่ะ
** น้ำตาล ** คุณเป็นคนชอบการกีฬา คุณมักจะเป็นคนที่ค่อนข้างหวงตัวเอง แต่บ่อยครั้งที่คุณตกหลุมรักคนอื่นอย่างง่ายดาย แต่เมื่อคุณได้พบเจอสิ่งที่ต้องการ และไม่ถูกใจคุณเมื่อไร คุณก็พร้อมที่จะยอมแพ้และปล่อยสิ่งนั้นทันที
** น้ำเงิน ** คุณเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบยกย่องใครสักเท่าไร และเรื่องมาก แต่คุณมีความคิดที่ดีเสมอๆ และ ชอบที่ตกหลุมรักใครง่ายๆ แต่คุณชอบปล่อยให้ความรักหลุดลอยไปอย่างง่ายดาย คุณมักจะรักตามใจคุณ ไม่ใช่ตามที่หัวใจคุณต้องการ
** น้ำเงินเข้ม** คุณเป็นคนที่มีเสน่ห์ และรักสนุก คุณมีความพยายามและความอดทนในการที่ทำสิ่งต่างๆดี และค่อนข้างจะหมกมุ่นในบางครั้ง แต่เมื่อคุณได้โกรธใครสักคนแล้ว ยากที่คุณจะให้อภัยได้
** ขาว ** ความฝันของคุณนำพาไปสู่จุดหมายของชีวิต คุณมักจะชอบอิจฉาคนอื่นๆ บางครั้งคุณก็ดูแปลกไป เมื่อเทียบกับความคิดคนอื่นๆ แต่คุณมีความพยายามในการทำสิ่งต่างๆที่ดี
** น้ำ (ฟ้า ) ** คุณเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างที่จะแปรปรวน คุณมักเป็นคนสันโดษและชอบการท่องเที่ยว คุณเป็นคนที่เชื่อใจได้ แต่มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างหูเบา ความรักที่คุณหวังไว้นั้นหายาก และมักจะเลิกรากันด้วยโดยง่าย และบางครั้ง คุณเองก็มักจะเจ็บปวดด้วยเรื่องความรัก
**สีแดง** คุณเป็นคนประเภทที่น่ารัก คุณอาจจะเลือกมากซะหน่อย แต่ก็มักจะไปหลงรักใครบ่อยๆ เข้า และคุณก็ชอบที่จะถูกรักซะด้วยสิ คุณสดใสและร่าเริง แต่บางครั้งก็มีอาการหมอง เศร้าซึม คุณเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้นุ่มนวล และดี และสิ่งนั้นเองจะทำให้คนอื่นชื่นชอบในตัวคุณ และสิ่งที่คุณเป็น คุณชอบคนที่คบหาด้วยง่าย และทำให้คุณมีความสะดวกสบายใจ
** ครีม ** คุณเป็นคนประเภทที่ชอบการแข่งขัน ไม่ชอบการพ่ายแพ้ และคุณมักจะร่าเริงอยู่เสมอๆ คุณเป็นคนที่น่าไว้วางใจได้ คุณมักจะเลือกความรักด้วยความระมัดระวังเสมอ และไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆซะด้วยสิ แต่ถ้าคุณพบใครที่คิดว่าใช่แล้ว คุณก็ไม่ปล่อยความรักให้หลุดมือไปซะทีเดียวหรอก
** เขียวเข้ม ** คุณมักจะพิถีพิถันเกี่ยวกับตัวเอง และมักจะมองหาความรักที่ดูมีภูมิฐาน คุณมักจะเป็นคนตัดสินใจอะไรง่ายๆและขาดสติ ซึ่งมักจะตามมาด้วยปั­หาต่างๆ คุณชอบที่จะเป็นผู้ที่นำ และคุณชอบที่จะค้นคว้าหาเพื่อนใหม่ๆ เสมอๆ
** เทา ** คุณเป็นคนที่มีเสน่ห์ และ คล่องแคล่ว คุณไม่เคยซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเอง และมักจะเปิดเผยสิ่งที่อยู่ข้างในตัวคุณให้คนอื่นได้รับรู้ แต่บางครั้งก็นำมาซึ่งความเห็นแก่ตัวบ้าง คุณอยากจะเป็นคนสำคั­ และรักความยุติธรรม ปลอบใจคนเก่ง พูดโน้มน้าวได้ดี และคุณเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ ที่ดี
** เขียว ** คุณมักจะเข้ากับสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาได้ดี คุณไม่ได้เป็นคนที่ขี้อายนัก กล้าแสดงออก แต่บางครั้งการพูดจาของคุณ ก็ทำให้ความรู้สึกของคนอื่นๆเข้าเจ็บปวดได้ คุณมักจะอยากเป็นคนสำคั­ของคนรักของคุณเสมอๆ แต่ส่วนให­่ผู้ที่เกิดช่วงนี้ มักจะยังโสด เพราะยังไม่เจอคนที่ถูกใจนัก
** ทอง ** คุณรู้ว่าอะไรที่ผิดหรือถูก คุณเป็นคนที่ร่าเริงทีเดียว สเปคของคนรักในใจคุณ หายากนัก แต่เมื่อคุณได้พบเจอแล้ว รับรองว่า คุณคงไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไปหรอกน่า
** ชมพู ** คุณมีความพยายามต่างๆที่จะทำให้ผลงานชิ้นนั้นๆออกมาดีที่สุด และมักจะชอบช่วยเหลือและดูแลผู้อื่น แต่บางครั้งความคิดของคุณก็คิดไปทางที่ไม่ดีบ้าง ส่วนเรื่องของความรัก คุณกำลังมองหาความรักที่โรแมนติกเหมือนในนิยาย ** เหลือง ** คุณเป็นคนอ่อนหวาน และใสซื่อ เป็นที่ไว้วางใจจากคนอื่นๆ และเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ที่ดี ข้อตัดสินใจของคุณ มักจะนำพาไปเรื่องที่ดีๆเสมอๆ และคุณก็ชอบที่จะมีความรักแบบโรแมนติคซะด้วยสิ
** เลือดนกปนน้ำตาล** คุณเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดทีเดียว และรู้ในสิ่งที่ถูกและผิด คุณมักจะทำให้สิ่งต่างๆให้เป็นในสิ่งที่คุณต้องการ และบางครั้งสิ่งนั้นอาจทำให้คุณทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นโดนที่คุณไม่รู้ แต่เมื่อถึงเรื่องความรัก คุณคือนักอดทนทีเดียว เมื่อคุณได้รักใครแล้ว ยากที่จะหาคนอื่นมาเทียบได้
** ส้ม ** คุณเป็นคนที่ค่อนข้างมีความรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ คุณมักจะมีจุดประสงค์ ในสิ่งที่ตนทำอยู่เสมอๆ และชอบการแข่งขัน เมื่อคุณมีเพื่อน คุณจะพบว่า ยากนักที่จะเชื่อและไว้ใจใครสักคนได้ แต่เมื่อคุณได้เจอเพื่อนที่คุณถูกใจแล้ว คุณจะเชื่อในคนๆนั้นตลอดไป
** ม่วง ** คุณค่อนข้างดูลึกลับ ไม่เห็นแก่ตัว และไม่ค่อยจะคล้อยตามสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดาย การกระทำของคุณในแต่ละวัน อาจนำมาซึ่งความสุขหรือทุกข์ได้ คุณมักจะป๊อปในหมู่เพื่อนฝูงเป็นที่รักใคร่ คุณเป็นคนที่ขี้ลืม และคุณน่าจะมองหาคนที่เชื่อใจและไว้ใจได้ดีกว่า

47 ข้อสำหรับท่านชาย

Photobucket - Video and Image Hosting

ข้อพึงปฏิบัติสำหรับท่านผู้ชายที่แต่งงานแล้ว นำไปปฏิบัติเพื่อสร้างครอบครัวซากีนะห์ (เฉพาะท่านที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ท่านที่ยังไม่แต่งงานห้ามนำไปปฏิบัติโดยเด็ดขาด)

1. ทุกจังหวะก้าวของชีวิต เราต้องผูกติดอยู่กับอัลเลาะห์ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหมั่นดุอาอ เพื่อให้เป็นที่รัก
2. เมื่อกลับถึงบ้าน ต้องพูด และ สัมผัส กับภรรยา ก่อนที่จะไปทำภารกิจอื่นๆ ทุกอย่าง (จะสัมผัสด้วยวิธีการใด หรืออย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความเหมาะสมเป็นสำคัญ)
3. แสดงท่าทีห่วงใย อาจจะด้วยการสอบถามว่า งานในบ้านวันนี้เป้นอย่างไรบ้าง ? เหนื่อยไหม ?
4. จงเป็นผู้ฟังที่ดี สำหรับทุกๆ คำพูดจากภรรยา อย่ารีบด่วนในการตัดสินใจ โดยไม่ฟังทุกอย่างให้จบ สิ่งสำคัญสำหรับข้อนี้คือ ต้องใส่ใจ
5. จงให้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน โดยในเวลานี้ต้องละทิ้งทุกอย่างสำหรับชีวิตตนเอง และเวลานี้ทั้งหมดต้องสำหรับเธอ
6. จงมอบดอกไม้ หรือน้ำหอม เพื่อเอาใจ ในยามที่เธออารมณ์ไม่ดี
7. ช่วยเหลือเธอ สำหรับกิจกรรมในครัว หรือบางครั้งก็อาจจะชวนไปทานนอกบ้าน
8. หมั่นยกย่องในความพิเศษๆ บางอย่างของภรรยา เช่น ผมสวยจัง (หมายถึงเส้นผมบนหัวของเธอ ไม่ไช่ผมที่หมายถึงตนเอง)
9. รู้จักเอาใจเมื่อเธอโกรธ หรือน้อยใจ (โดยเฉพาะในช่วงตั้งท้อง ผู้หญิงจะน้อยใจง่ายกว่าช่วงปกติ)
10. จงช่วยเหลือในกิจกรรมทุกอย่างที่เป็นภารกิจของเธอเท่าที่เราสามารถทำได้
11. อย่างเร่งรีบ เราต้องมีเวลาเผื่อไว้เสมอสำหรับทุกๆ กิจกรรมที่ร่วมกับเธอ
12. วันไหนที่กลับบ้านช้าจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสมอ
13. ถ้าภรรยาขอความช่วยเหลือใดๆ ก็ต้องช่วย แต่ถ้าไม่สามารถช่วยได้ ก็ต้องบอกให้ทราบตรงๆ โดยไม่จำเป็นต้องสาธยายให้ยาว
14. ชีวิตผู้ชาย อาจจะมีบางช่วงเวลาที่อยากจะเงียบคนเดียว (โดยเฉพาะคนทำงานหนัก) ก็ต้องบอกให้ทราบพร้อมเหตุผล
15. เมื่อใดที่จิตใจเรารู้สึกว้าวุ่น หรือประสบกับความยุ่งยากใดๆ ก็ต้องบอกให้ภรรยาทราบ ด้วยถ้อยคำที่ดี อย่าพยายามปัดให้เป็นความผิดของภรรยา
16. เมื่อเธออยากจะพูด ก็ต้องเปิดโอกาสให้เธอได้พูดอย่างเต็มที่ และพยายามตั้งใจฟังในทุกๆ คำที่พูด
17. เมื่อใดที่จะออกนอกบ้านก็ต้องถามภรรยาเสมอว่า จะฝากอะไรไหม ?
18. จงบอกให้เธอรู้เมื่อคิดอยากจะนอนหรือต้องการพักผ่อน
19. จงกอดภรรยาอย่างทนุถนอมอย่างน้อยก็ 4 ครั้งต่อวัน
20. หมั่นโทรศัพท์ไปหาเธอจากที่ทำงาน ถึงจะไม่มีเรื่องราวอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็ให้มีคำว่า “ยา ฮาบีบี อินนี อูฮิบบูกี” หรือถ้อยคำอื่นๆ ที่เป็นความเข้าใจตรงกัน และนำมาซึ่งความรู้สึกที่ซาบซึ้งกัน
21. พูดถึงด้วยถ้อยคำแห่งความรักให้ฟัง อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน
22. ชวนกันอกไปที่ไหนๆ โดยไม่ต้องมีลูกไปด้วย (ในกรณีที่มีลูกแล้ว)
23. ลองคิดถึงคำพูดในเชิงร้องขอจากภรรยา ซึ่งอาจจะผ่านไปนานแล้ว วันนี้ถือโอกาสสนองในสิ่งนั้นเสีย
24. แสดงด้วยคำพูดที่บ่งบอกถึงความคิดถึงและห่วงหาเมื่ออยู่ไกลกัน
25. ชื้อของกินที่ภรรยาชอบกลับบ้านบ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องทุกวัน
26. ทำอีบาดะห์ร่วมกันเสมอทุกครั้งที่มีโอกาส
27. ถ้าต้องไปไกลๆ หรือต่างจังหวัด เมื่อไปถึงที่หมายแล้ว ก็ต้องโทรบอกทันทีว่า “JazakalLAH ผม ถึงที่หมายโดยปลอดภัยแล้วนะ”
28. อย่าลืมช่วยโทรบอกให้เธอทราบรายละเอียดของที่พักด้วย รวมทั้งหมายเลขห้องและเบอร์โทรติดต่อ ของโรงแรมหรือห้องพัก
29. ช่วยนวดหลังเธอบ้างเมื่อมีโอกาส หรืออาจจะใช้เวลานี้รวมกับข้อที่ 5 เลยก็ได้
30. ไม่ผิดปกติเลยหากหมั่นแสดงออกถึงความรัก โดยการกระทำ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องเพศ
31. ช่วยจัดห้องนอน, เตียง, ผ้าห่ม (ทุกอย่างที่เกี่ยวกับที่นอน) บ้างเป็นครั้งคราว
32. ทำหน้าที่พรมน้ำหอมในที่นอนบ้างเป็นครั้งคราว อย่าให้เป็นหน้าที่ของภรรยาอย่างเดียว
33. อดทนและรับฟังในปัญหาของผู้หญิง
34. แสดงออกถึงความรักที่มีต่อเธอในงานสังคมด้วย อย่าให้เธอต้องเคว้งคว้างคนเดียว ส่วนเราก็เอาแต่เพื่อน
35. เมื่อเดินด้วยกัน ก็ต้องจับมือภรรยาด้วย ดีด้วยซ้ำไปถ้าจูงมือกันข้ามถนน (ไม่มีใครว่าตาบอดหรอก)
36. คุณผู้ชายลองทำหน้าที่ชงเครื่องดื่มที่ภรรยาชอบบ้างเป็นครั้งคราว (หรือหากได้ทุกครั้งก็ไม่ผิดปกติอะไร)
37. ถ้าต้องออกไปนอกบ้านด้วยกัน อย่าคิดให้ภรรยาเป็นคนเลือกสถานที่โดยตลอด (เป็นผู้ชายต้องรู้จักตัดสินใจด้วย)
38. เมื่ออยู่ในงานหรือสถานที่สาธารณะต้องแสดงออกถึงท่าทีที่บ่งบอกถึงความสำคัญของภรรยา (ภรรยาของตนเอง ไม่ไช่ภรรยาของคนอื่น)
39. ภรรยาต้องสำคัญกว่าลูกเสมอ
40. เมื่อภรรยาป่วย เราต้องหมั่นดูแล และใส่ใจในปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น จงใส่ใจในตัวเธอ เหมือนกับที่เธอได้ใส่ใจในตัวท่าน (โดยทั่วไปภรรยาจะให้ความใส่ใจกับผู้ชาย มากกว่าที่ท่านผู้ชายจะใส่ใจในตัวภรรยา)
41. เมื่อถึงเวลานอน สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ เข้านอนพร้อมๆ กัน
42. รู้จักการจูบลาบ้าง (ลาไปทำงานนะครับ ไม่ไช่ลาลับ)
43. รู้จักเอยคำขอบคุณบ้างเมื่อภรรยาให้บริการใด ๆ ต่อเรา
44. พยายามให้มีบ้างซักปีละ 2 ครั้ง ที่ร่วมรำลึกถึงบรรยากาศแห่งครั้งแรกที่ได้พบ กับบรรยากาศแห่งน้ำผึ้ง บุหงา ลดามาลย์
45. ร่วมออกกำลังกายด้วยกัน ถึงจะไม่ทุกครั้ง แต่ก็ต้องมีบ้าง เป็นครั้งคราว
46. ไปเที่ยวกัน ที่ไหนๆ ที่ไกลๆ ที่ชอบๆ
47. ไม่แปลกเลย หากคุณผู้ชาย รับหน้าที่ในครัว หรือซักรีดเสื้อผ้า และ ฯลฯ เพราะท่านศาสดามูฮัมหมัดก็ทำหน้าที่คล้ายกันนี้ คงไม่มีประชาชาติผู้สืบทอดจากท่านคนใด ที่คิดอยากทำตัวให้สุขสบาย มากกว่าตัวท่านศาสดา ฯ หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อท่านศาสดาทำงานหนัก อย่างนั้น ไม่ละเว้นแม้แต่งานในบ้าน ที่คนเรามักจะมองว่าเป็นเรื่องของผุ้หญิง แต่ท่านศาสดายังทำ แล้วเราเป็นใคร ? ทำไมถึงจะทำบ้างไม่ได้ ?

Monday, December 11, 2006

ชีวิตเด็ก


ส่วนหนึ่งเติบโตแบบตามมีตามเกิด แต่อีกส่วนหนึ่งถูกฟูมฟักอย่างดี



ใครจะเป็นผู้ทำลายช่องว่างเหล่านี้ ?


ศาสนาเป็นทางออกสุดท้าย แต่นักการศาสนาที่มีอยู่ในทุกวันนี้ ยุ่งอยู่กับเรื่องอะไร ?

พิสูจน์ตาคุณบอดสีไหม?

ชีวิตเรา

Tuesday, November 28, 2006

น้ำผึ่งปนเปื้อนยาพิษ คละเคล้ากับน้ำตา

Photobucket - Video and Image Hosting

บันทึก ณ มุมมืด

ในชั่วโมงก่อนรุ่งสาง

ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่อง อร่ามเรืองไปทั่วยอดไม้

เสียงร้องคร่ำครวญ ปานใจจะขาดอยู่รอน ๆ ของหญิงสาวนางหนึ่ง ดังมาจากข้าง ๆ สัมผัสโสตประสาท ปลุกความสำนึกของข้าพเจ้า ให้ฉายฉาน ถึงเธอผู้นั้น หญิงสาวผู้ซึ่งอ่อนต่อโลก เขลาต่อสังคม แต่ถูกสภาพแวดล้อมฉุดกระชากตัวเธอ ให้ต้องแปดเปื้อนกับคาวราคีไปตลอดชีวิต…………

เธอ คือ อิตถีเพศ ผู้รวยด้วยรูปลักษณ์ ชวนให้เกิดเสน่หาสำหรับหลาย ๆ คน ที่พบเห็น เขาเหล่านั้น ใช้วาจาแทะโลมจิตใจของเธอให้อ่อนไหว เคลิบเคลิ้ม ให้ตกอยู่ภายใต้การชักใยของอารมณ์ฝ่ายต่ำ ลืมสิ้นคำสั่งเสียของพ่อแม่

“เขา” ชักพาเธอสู่สภาพและสิ่งแวดล้อมของสังคมในรูปแบบใหม่ สู่สถานที่หย่อนใจที่ยั่วยวน ชักพาชีวิตเธอสู่ความฟุ้งเฟ้อ หลงไหล สู่อริยธรรมแผนใหม่ สู่วิถีชีวิตที่ไร้แก่นสาร จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเอง………..

สภาพการณ์เหล่านั้นได้ฉุดกระชาก ชีวิตเธอให้ต่ำลง ต่ำลง เธอสนุกสุดเหวี่ยงกับความฉาบฉวยของสังคม และความปลิ้นปล้อนของปากคำชาย แต่เธอก็หาได้สังวรณ์ใจไม่ ซัยฎอนนได้สิ่งสู่เธอให้เห็นคล้อยเกิดความปักใจ มั่นใจ ในคำหวานที่เขาพร่ำพรรณนา

มนุษย์ร้อยเล่ห์ พันมารยา แสร้งแสดงความจริงใจ มากเลี่ยมแพรวพราวขอเพียงให้ได้บรรลุให้สิ่งที่ตนปรารถนา

โอ้เธอเอ๋ย…ชีวิตเธอต้องประสบกับน้ำใจหฤโหด จากมือชายที่แปดเปื้อน คาวราคี แล้วเชียวหรือ…….

เมื่อเสร็จสิ้นอารมณ์หมาย ความเบื่อตามประสาชายผู้เจนโลก เธอจึงถูก “เขา” สลัดทิ้งไม่เหลือเยื้อใย เธอดังดอกไม้เหี่ยวเฉาไร้ซึ่งหมู่ภมร มาดอมดม ดังนกปีกหักเกินกว่าจะโบกปีกโผบินต่อไปได้

ชีวิตเธอหมองไหม้ หัวใจเธอแหลกเหลว น้ำตาประดุจสายธาร……

********

รอยระลึกเก่า ๆ เฝ้าหลอกหลอน, เชือดเฉือน, กัดกรีด, บาดลึก, ลงไปในดวงใจเธอ เธอคือความขมขื่น, เธอคือความปวดร้าว เธอ……..


บทเรียนสอนใจ

ผู้หญิงวัยรุ่นอย่างเรา ย่อมเป็นที่ต้องการของเขา และรักแท้ที่บริสุทธิ์ก็เป็นของสูงที่ทุกคนต่างก็ปรารถนา แต่ในสังคมและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่รอบตัวเรา ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ, ชิงดี ชิงเด่น, กดขี่ แสวงหาผลประโยชน์ จะหาความยุติธรรมได้ยากยิ่ง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเราจะไปหาความรัก เช่นนั้นได้ที่ไหนกัน เราต้องการความรักที่จะผลักดันให้ชีวิตเราสูงขึ้น ความรักเช่นนั้นให้ความหวัง, ให้พลัง, ให้กำลังใจแก่ชีวิต ความใคร่ต่างหากเล่าที่จะฝังและทำลายชีวิตเราไว้ในสุสาน แห่งความชั่วช้าโสมม

Monday, November 27, 2006

Photobucket - Video and Image Hosting
เสี้ยวรำพึง (สำหรับแม่)

ปัญหาในครอบครัวมีด้วยกันทุกคน ส่วนจะมากหรือหรือน้อย ก็เป็นเรื่องของแต่ละครอบครัวไป อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า ทุกๆ ปัญหาจะไม่รุนแรงหรือหนักหนาเกินกว่าที่เราจะยอมรับได้ หากเราสามารถเข้าใจในมูลเหตุของปัญหานั้นๆ

คนทุกคนที่เกิดมา ย่อมมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ทั้งโดยพันธุกรรม หรือโดยวิถีชีวิตที่เติบโตบ่มเพาะขึ้นมา โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนไม่ต้องการสิ่งที่ไม่ดี และโดยธรรมชาติอีกนั้นแหละที่มนุษย์มักจะไม่สนใจใคร่รู้ในความไม่ดีของตนเอง แม่เรา หรือแม่ใครๆ ก็ตามแต่ ก็คือมนุษย์ที่ไม่ได้ต่างจากมนุษย์อื่น ๆ

ลักษณะการเติบโตของแม่ ที่บ่มเพาะความเป็นตัวตน จนถึงวันที่เป็นแม่และเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ แม่ไม่รู้หรอกว่า ลูกต้องการอะไรมากที่สุด แต่ที่แม่รู้มากที่สุดก็คือ แม่จะต้องทำให้ลูกเติบโตอย่างดีที่สุด เท่าที่ชีวิตแม่พอจะทำได้

ชีวิตแม่เติบโตมาอย่างไร ในวันที่แม่เป็นแม่ แม่ก็จะสอนลูกอย่างนั้น เพราะบริบทของแม่ตั้งแต่เล็กๆ แล้วเป็นอย่างนั้น แม่คิดว่าแม่ได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างดีที่สุดแม้ว่าลูกอาจจะไม่พอใจอย่างที่สุดก็ตาม แต่แม่เชื่อว่าซักวันหนึ่งวันที่ลูกมีลูก ลูกก็จะเข้าใจทุกอย่างด้วยตนเอง

สำหรับลูก ๆ จะไม่เรียกสิ่งใดๆ จากแม่ เพราะลูกเข้าใจแล้วว่า แม่ได้ทำทุกอย่างแล้วเพื่อลูก แม้ว่าบางอย่างตัวของลูกเองไม่เข้าใจ แต่ความรักที่มีต่อแม่ได้สลายทุกอย่างที่เป็นความไม่เข้าใจ จนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวให้ต้องรำลึกถึงอีก

***********

มีตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เติบโตของแต่ละคน เป็นข้อบ่งชี้ถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคน

สามีภรรยาคู่หนึ่ง แต่งงานได้ไม่นาน แต่ความไม่ปกติก็เกิดขึ้นในครอบครัวนี้ เมื่อพฤติกรรมเดิมของแต่ละคน ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถรับได้

ฝ่ายหญิงเติบโตมาในครอบครัวที่ได้รับการอบรมและเลี้ยงดูมาอย่างดี ทุกครั้งในเวลาทานข้าว ทุกคนในบ้านจะมาทานข้าวพร้อมๆ กัน. ในเวลาทานข้าวคือเวลาที่ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะได้หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน บอกเล่าเรื่องราวของกัน

คนทำกับข้าวก็ทำอย่างมีความสุข เพราะเมื่อทำเสร็จ ทุกคนก็จะมานั่งร่วมกินกัน สรวลเสกันตามประสาคนในครอบครัวเดียวกัน กับข้าวอาจจะไม่อร่อยไปบ้าง หรือขาดการปรุงแต่งในรสชาติบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณพ่อของบ้านนี้ฉลาด เอาใจแม่เก่ง เช่น ถ้าน้ำบูดู เผ็ดไป คุณพ่อก็จะบอกว่า "ตั้งใจทำอย่างดีเลยนะสำหรับพ่อ จนลืมไปว่าใส่พริกในบูดูถึง 2 ครั้ง" (ตัวอย่าง)

ในครอบครัวนี้ วิถีชีวิตของแต่ละคนจะยุ่งเหยิงซักเพียงใดก็ตาม แต่ทุกคนจะมีเวลาให้แก่กันเสมอ โดยเฉพาะในเวลาทานข้าว

ในขณะที่ฝ่ายชาย เติบโตในครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน เวลาทานข้าว เป็นเวลาของแต่ละคน (ไม่ไช่เวลาของทุกคน) ใครหิวก็เข้าไปกิน หรือบางคนก็กินนอกบ้าน

ชีวิตของฝ่ายชายเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด แล้ว จนโตเป็นผู้ใหญ่และแต่งงานเมื่อทั้งสองคนที่เติบโตในสภาพการเลี้ยงดูที่ต่างกัน แต่มาแต่งงานร่วมชีวิตด้วยกัน แรกๆ ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะต่างโอนอ่อนทุกอย่างให้แก่กัน แต่พอผ่านไปหลายๆ เดือน ฝ่ายหญิงก็ต้องการให้เป็นในแบบที่ครอบครัวของตนเป็น ในขณะที่ผู้ชายก็ต้องการเป็นแบบที่ตนเองเคยชินมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ครอบครัวนี้มีปัญหาทันที และยากที่จะแก้ไข

ถ้าหากว่าแต่ละคนไม่เข้าใจในภูมิหลังของกันและกัน เรื่องนี้ ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในความรู้สึกของผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นเรื่องใหญ่มาก

เรื่องของแม่ที่ไม่มีเวลาให้ลูก และไม่อาจจะสนองตอบในสิ่งที่ลูกต้องการ ลูกเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ในขณะเดียวกัน แม่ไม่ได้เข้าใจในแบบที่ลูกเข้าใจ แม่จึงไม่สามารถสนองในความต้องการของลูกได้

สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ สิ่งที่แม่เป็นแบบนั้น เพราะแม่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ชีวิตแม่ไม่เคยมีโอกาสได้ปรึกษาใดๆ กับแม่ของแม่เลย (หมายถึงยายของเรา) ในฐานะลูกผู้หญิงแม่ก็ต้องการในแบบเดียวกับที่เราซึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกันต้องการ แต่แม่เองก็ไม่เคยได้รับ เพราะยายไม่เคยให้ ชีวิตการเติบโตของแม่เป็นอย่างนั้น พอแม่ได้ลูก (นั้นคือเรา) แม่ก็เลี้ยงเราในแบบเดียวกับที่ ยายได้เลี้ยงแม่มา คิดดูซิน่าสงสารแม่ไหม ?

แม่ไม่เคยได้รับในสิ่งที่แม่ต้องการ แต่ในวันนี้ลูกกลับเรียกร้องในสิ่งที่แม่เองไม่เคยได้เลย แม่เจ็บปวดซ้ำสองนะ เจ็บที่หนึ่งคือแม่ไม่เคยได้ เจ็บที่สองก็คือแม่จะต้องให้ น่าสงสารแม่ไหม ?

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะความห่างเหินในครอบครัว ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ หรือปัญหาด้านสังคม สิ่งที่อยากแนะนำ อีกประการหนึ่งก็คือ ให้คิดว่าเราโชคดีกว่าแม่มากเลยนะเพราะ

1. เรารู้แล้วว่าครอบครัวเรา มีบางสิ่งที่ไม่ปกติ ในขณะที่แม่ไม่รู้

2. เรามีโอกาสได้ศึกษา ได้เรียนรู้ ได้มีประสบการณ์ ได้ประสบพบเห็นกับอะไรๆ มากมาย ที่ไกลตัวออกไป ในขณะที่แม่อาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้ เรางจึงต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ให้เป็นประโยชน์ สำหรับวันข้างหน้า ในวันที่ เราเองมีลูก เราจะเข้าใจดีเลยว่าต้องให้อะไรบ้างแก่ลูก (โดยเฉพาะลูกสาว)

แล้ววันนั้น ชีวิตของเราและครอบครัวจะมีความสุข ขอให้อดทนอีกนิดนะครับขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน
มองที่มา หาทางออก คนอกหัก

ปัญหาทางใจมีด้วยกันทุกๆ คน สุดแท้จะมากหรือน้อย จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเท่านั้นเอง เท่าที่รู้จะเป็นปัญหาของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่คนที่ยอมเปิดเผยหรือยอมปรึกษา (เมื่อมีโอกาส) จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ได้แนะนำไป

1. ต้องทำใจ

2. ทำความรู้จักให้ถ่องแท้ในตัวเรา และตัวเขา (โดยทั่วคนเรามักจะรู้จักคนอื่นมากกว่ารู้จักตนเอง)

3.พยายามมองในส่วนดีๆ ของเขาให้มาก เพื่อนำสิ่งดีๆ นั้นมาปรับใช้

4. พยายามมองความบกพร่องของเรา เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

5. ให้คิดว่า ในการเดินทางไปไหนต่อไหนของเรา ไม่ว่าจะด้วยเส้นทางไหน ๆ ก็มีสิทธิประสบกับอุบัติเหตุด้วยกันทั้งนั้น แม้จะระวังตัวมากเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่ไปชนเขา เขาก็มาชนเรา หรือบางทีอาจจะลงคู หรือหากเดินทางป่า/เขา ก็มีสิทธิถูกงูกัด ถูกกิ่งก้านใม้ขีดข่วน อาจจะสร้างแผลเป็นไปตลอดทั้งชีวิต. ในการเดินทางของชีวิตก็ไม่ต่างกัน ให้คุณคิดว่านั้นคืออุบัติเหตุทางใจ ซึ่งใครๆ ก็เป็นได้

6. ทุกคนมีคำตอบของชีวิตแล้ว คำตอบของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน หรือคนๆ เดียวกันอาจจะตอบไม่เหมือนกันเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขาคนนั้นได้บอกเลิกกับคุณ นั้นก็หมายความว่า เขาได้มีคำตอบใหม่สำหรับชีวิตเขาแล้ว แล้วคุณก็อาจจะคิดว่า "ทำไมคำตอบเขาไม่เหมือนเดิม เหมือนที่เคยพูดๆๆๆมา" และคุณก็ยืนยันกับตัวเองว่า "ผม/ฉันยึดมั่นในคำตอบเดิมของชีวิต" ถ้าคุณคิดอย่างนี้ คุณจะเจ็บปวดอีกนาน ลองเปลี่ยนคำถามและเปลี่ยนคำตอบใหม่ให้ชีวิตคุณ. และอย่าลืมว่า คนที่จะร่วมชีวิตกัน จะต้องตอบคำถามของชีวิตที่เหมือนกัน หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ หรือวันไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสุขหรือช่วงทุกข์

7. การที่คนรักกันในคู่หนึ่ง ต้องเลิกรากันไป ถือเป็นข่าวร้ายมาก แต่ในความร้ายก็มีสิ่งดีแฝงอยู่ นั้นคือการที่คุณหรือเขาสามารถ "เปิดความจริงของตนเอง" ที่ไม่สามารถร่วมทางกันได้ คุณ/เธอไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือ ที่เขาไปวันนี้ วันที่ไม่มีพันธะอะไรเลย ถ้าเขาไปวันหน้า วันที่อาจจะมีบุคคลที่ 3 ของคุณและเขาเข้ามา คุณจะเจ็บไปตลอดทั้งชีวิต ยิ่งต่างศาสนาด้วยแล้ว ก็ไม่รู้ว่า คนที่ 3 จะเป็นอย่างไร

8. พยายามสลัดทิ้งความรู้สึกทางกาย ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือใจ เพราะคนที่หลงๆ กัน มักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องทางกาย
ความรักที่แท้จริง
มนุษย์เป็นมัคลูก (สิ่งที่ถูกสร้าง) ที่มีเกียรติที่สุดบนโลกนี้. มนุษย์สืบเผ่าพันธ์มาจากคนคู่หนึ่งที่ห่วงหาต่อกัน และบางช่วงบางตอนของมนุษย์คู่นั้นก็ต้องเผชิญกับความโศกเศร้าอาดูร นั้นเป็นสัญลักษณ์บอกให้กับเราในชนรุ่นหลังนี้ว่า เมื่อมนุษย์คู่แรกไช่จะเกิดขึ้นมาบนความพร้อมและสมบูรณ์พูนสุข เราผู้เป็นวงค์วานของมนุษย์ผู้นั้น ย่อมมิอาจจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสะดวกสบายโดยตลอดได้.

ชีวิตนี้ต้องต่อสู้ ชีวิตนี้ต้องดิ้นรน ชีวิตนี้ต้องอดทน ชีวิตนี้ต้องพร้อมเผชิญหน้ากับวิบากกรรมใด ๆ บนทางที่เที่ยงตรงและถูกต้อง.

เราเคยตระหนักบ้างไหม กับการกำเนิดของชีวิตนี้ ที่ถือเป็นคุณูปการอย่างล้นเหลือจากองค์ผู้อภิบาลสู่มวลมนุษย์ เมื่อใดที่เราได้เข้าฟังการบรรยาย ช่วงเวลาที่เราทำงาน หรือช่วงเวลาที่เราร่วมสังคม เราคงจะเคยได้ยินเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งสิ่งที่ดีที่ควรค่าแก่การจดจำ หรือเรื่องราวแห่งความทุกข์ท้อระทม

ทุกอย่างเหล่านี้ ได้เวียนว่ายในชีวิตมนุษย์เราเคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ? ทำไมเราจึงต้องเกิดมา ? เราเคยได้คิดคำนึงถึงคุณค่าของชีวิต และชีวิตเราได้มีคุณค่าต่อเพื่อนมนุษย์หรือไม่ อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับคนที่ใกล้ชิดกับเรา ?เราเคยสำนึกหรือไม่ว่า การที่เราสามารถดำรงชีวิตมาจนถึงวันนี้ หาไช่เพราะเหตุอื่นใดไม่ หากแต่นั้นเพราะรัก รักอันยิ่งใหญ่จากเอกองค์อัลเลาะห์…?

เรารู้สึกเศร้าใจมาก กับการที่ต้องจากลากันจากพ่อ จากแม่ จากคนที่เรารัก เรารู้สึกวังเวงเมื่อใดที่ต้องจากเพื่อน เรารู้สึกระทดระท้อ เมื่อใดที่พลาดหวังจากสิ่งที่ใฝ่ฝัน แต่ทุกอย่างเหล่านี้หาไช่จะจีรังยั่งยืนไม่ นอกเสียจากความรักอันเที่ยงแท้ของผู้ทรงนิรันดร์ เราเคยห่วงหาต่อพระองค์ไหม ?

โอ้พี่น้องของฉัน บ่าวของพระองค์ผู้ซึ่งได้รับความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ประทานมา นั้นคือ “อีมาน” และ “อิสลาม” เราต้องตอบสนองต่อความรักอันยิ่งใหญ่นั้นด้วยความดี ด้วยการสร้างประโยชน์ ด้วยการช่วยเหลือต่อผู้ด้อยโอกาส ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ เพื่อความโปรดปรานของพระองค์

เวลาได้เดินทางจากเราไปอย่างรวดเร็ว หากเวลาที่มีนี้ เราไม่ได้ใช้เพื่อสร้างคุณค่า เราก็จะเป็นมนุษย์ผู้สูญเปล่า มนุษย์ผู้ขาดทุน…

จงสัญญาเถิด เราจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และอนาคตจะต้องดีกว่าวันนี้ เพื่อสิ่งที่ดีๆ ประดับตัวเรา ที่ขอมอบแด่คอลิก (ผู้ทรงสร้าง) ผู้เป็นอมตะแห่งความรัก

เพราะความรัก เราพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาประทับใจ และตราตรึงใจกับเราตราบเท่านาน

เรารักอย่างอื่นได้ เราพร้อมสนองตัวเราเองเพื่อความรักนั้น แต่รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเพื่ออัลเลาะห์ อันจะดำรงอยู่เป็นอมตะนิรันดร์กาล…

เขียนให้เพื่อนผู้เดินทางไปทำฮัจย์

หนูอ่านกุรอาน




















หนูอ่านอัลกุรอานได้แล้ว

เรื่องของ "แควน"

Wednesday, November 01, 2006

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (1)

Photobucket - Video and Image Hosting

“อานี มีเรื่องสำคัญที่พ่อกับแม่จะคุยด้วย” นี้ถือเป็นมูกอดดีมะห์ ของการพูดคุยกันของคน 3 คน ในครอบครัวฉันในวันหนึ่ง

แม่นั่งนิ่งคอยสังเกตอากัปกริยาของฉัน โดยให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “อานี ทั้งพ่อและแม่ได้ตอบรับการสู่ขอจากชายคนหนึ่งสำหรับลูก”

“อะไรน่ะ !” ฉันอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง กับสิ่งที่พ่อได้พูดมา เพราะฉันยังไม่คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวในเวลานี้ ฉันยังคำนึงถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตฉัน ที่ฉันต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ผ่านการศึกษาที่ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดๆ มาเป็นอุปสรรคสำหรับความตั้งใจอันแน่วแน่ของฉันนี้

และแน่นอนการมีครอบครัวก็จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ฉันจึงไม่คิดที่จะมีพันธะหรือภาระผูกมัดกับใครทั้งสิ้น

“ทำไมพ่อกับแม่ไม่คุยกับอานีก่อน ๆ ที่จะตกลงอะไร” ฉันเถียงกับพ่อ เพราะไม่พอใจกับการตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใด ๆ กับฉัน ฉันคิดว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอนาคตและชีวิตของฉัน ๆ จะต้องร่วมตัดสินใจด้วย

พ่อนั่งนิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าพ่อกับแม่ปรึกษากับอานีก่อน เราก็รู้ว่าอานีจะตอบอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าอานี จะต้องตอบว่ายังไม่พร้อม ถ้าเช่นนี้แล้วเมื่อไรเล่า ที่อานีจะพร้อม อานีจะมีชีวิตอยู่เช่นนี้อีกนานแค่ไหน ?”

ฉันนิ่งเงียบ แล้วแม่ก็พูดต่อ “ในฐานะผู้ใหญ่ เราก็คาดหวังว่า ลูกซึ่งเรารักและหวงมากๆ นี้ จะต้องมีสามีที่พร้อมจะปกป้องและคุ้มครองชีวิตลูก”

“เราไม่ได้ต้องการจะปล่อยลูกและทิ้งภาระให้กับคนอื่น แต่ลูกต้องเข้าใจว่า นี้คือความรับผิดชอบของพ่อกับแม่ในการหาสามีที่ดีให้กับลูกสาวของตนเอง” เสียงของแม่เต็มไปด้วยความใส่ใจ แต่ฉันยังไม่ยอมเข้าใจและรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น

“อานี! ” พ่อเรียกชื่อฉัน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่เห็นฉันนิ่งเงียบมานาน แล้วพูดว่า“จงมั่นใจเถิดว่า การที่พ่อและแม่ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพื่อสิ่งดีๆ สำหรับตัวของอานี เราหวงอานีเหลือเกิน”

เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ จากฉัน แม่ก็พูดตัดบทออกไปว่า “นี้แหวนของเขา จงสวมเถิดลูก” แม่วางกล่องกลมสีแดงเล็กๆ หน้าฉัน แล้วก็เดินออกไป

ชีวิตฉันในตอนนี้ เป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน หลากหลายคำถามเวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงของฉัน ถ้าฉันตอบตกลงตามการตัดสินใจของพ่อแม่ นั้นก็หมายถึงฉันต้องละทิ้งอนาคตและความฝันของฉันเอง แต่ถ้าฉันปฎิเสธิ ก็ต้องหมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำให้กับพ่อแม่ ผู้ซึ่งมีบุญคุณอย่างล้นเหลือต่อชีวิตฉัน ปราศจากท่านทั้งสอง ฉันคงไม่อาจจะมีชีวิตอย่างทุกวันนี้ฉันตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน

ภาวะทางจิตใจของฉันกำลังห้ำหั่นและต่อสู้กันเอง ฉันจะต้องเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก คือการปฎิเสธิการแต่งงาน หรือฉันจะต้องตามการตัดสินใจของพ่อแม่ ถ้าฉันเอาตัวเองเป็นหลัก นั้นก็หมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ช้ำใจกับฉัน ชีวิตฉันต่อไปจะมีบัรกัตอย่างไร ?

กาลเวลาผั่นผ่านไปหลายวัน กับห้วงคำนึงอันอยากที่จะได้บทสรุปที่ลงตัว... เป็นไปได้อย่างไรกันที่ฉันจะตอบรับแต่งงานกับคนที่ฉันยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตามาก่อน การแต่งงานไม่ไช่การตอบโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่มีสูตรสำเร็จตายตัวอยู่แล้ว

เรื่องของชีวิตคู่ที่จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนตลอดทั้งชีวิต ปราศจากความเข้าใจและการโอนอ่อนผ่อนปรนต่อกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งสองชีวิต สองจิตใจ จะมาหลอมรวมเป็นหนึ่งในฐานะสามีภรรยาได้เรื่องของชีวิตครอบครัวหลายต่อหลายคู่ที่ผ่านหูและผ่านตาฉันเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบลงด้วยการแตกแยก ทั้งสองคนประคับประคองชีวิตคู่ได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น หลังจากนั้นครอบครัวก็ต้องล้มสลาย ประดุจเรือที่แล่นผ่านท้องทะเลลึก ต้องเผชิญกับภาวะอากาศและคลื่นลมที่แปรปรวน และในที่สุดเรือก็อับปางลง เศษชิ้นส่วนพังกระจายระเนระนาดปลิ่วว่อนตามแต่คลื่นลมจะพัดพาไป

และถ้ามีลูก ลูกก็ต้องเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ต้องผจญกับความทุกข์จากการพลัดพราก

“ยาอัลเลาะห์ โปรดช่วยฉันในการตัดสินใจครั้งสำคัญสำหรับชีวิตนี้ จงชี้แนะทางออกสำหรับชีวิตฉันด้วย ขอพระองค์จงอย่าให้ฉันต้องเดียวดายในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของชีวิตนี้โอ้อัลเลาะห์ ชีวิตฉันในตอนนี้ต้องเผชิญกับความบีบคั้นอย่างสุดแสนทรมาน ระหว่างความต้องการของฉันเอง กับความประสงค์ของพ่อแม่โอ้อัลเลาะห์ โปรดชี้แนวทางให้กับฉันด้วย....”

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (2)

“ป๊ะ ม๊ะ อานีได้ตัดสินใจแล้ว” นี้คือถ้อยคำแรกที่ฉันพูดกับพ่อแม่ หลังจากที่เงียบหายไปหลายวัน ในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พ่อกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ และแม่กำลังปักเสื้อ

พ่อถามว่า “ตัดสินใจอะไรหรือ ?” ทั้งพ่อและแม่ก็มองหน้ากันฉันตอบไปว่า “ก็เรื่องผู้ชายที่พ่อกับแม่ ได้เลือกไว้” ทั้งพ่อและแม่มองหน้าฉัน เหมือนจะรู้คำตอบให้ได้

การตัดสินใจของฉัน เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุด เท่าที่สติปัญญาฉันพอมี เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป ก็คือ จังหวะก้าวต่อไปของชีวิตฉันบนเส้นทางสายใหม่ สายที่จะต้องมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนๆ นั้นก็เป็นคนที่ฉันไม่รู้หน้าค่าตามาก่อนเลย

“ถ้าหากว่าสิ่งนี้เป็นตักดีรจากอัลเลาะห์ อานีก็ขอยอมรับในคู่ชีวิตที่ทั้งพ่อและแม่ได้ตัดสินใจเลือกไว้ให้แล้ว” ฉันจบคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ ปนกับความเศร้า และในทันใด น้ำตาฉันก็รินไหลออกมา ตกกระทบบนตักของฉัน

แม่เข้ามานั่งใกล้ฉัน และเข้ามากอดฉัน ฉันก็ไม่เข้าใจว่า ที่แม่กอดนั้นเพราะดีใจที่ฉันได้ตัดสินใจตามและยอมรับที่ทั้งสองได้ตัดสินใจล่วงหน้าแล้ว หรือเข้ามากอดเพื่อต้องการสงบสติอารมณ์ของฉัน

ในท่ามกลางความเงียบพ่อก็พูดออกมาว่า “จงซูโกรเถิด เราหวังว่าอานีจะมีความสุขในชีวิต”

หลังจากนั้นฉันก็เข้าห้อง ปิดตัวเงียบอยู่คนเดียว ไม่สนใจสิ่งใดๆ ภายนอกทั้งสิ้น ฉันรู้ว่าทั้งพ่อแม่ดีใจมากกับคำตอบของฉัน แต่ใครจะรู้บ้างว่า อันตัวฉันนี้รวดร้าวยิ่งนัก กับสิ่งที่กำลังจะเป็นไป ฉันคิดอยู่เสมอว่าแม้ใจฉันจะร้องให้อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ดีกว่าการทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ให้ทั้งสองสบายใจเถิด ส่วนตัวฉันจะเป็นอย่างไรก็ได้

แม่เข้ามาหาฉัน และพูดว่า “แม่จะนัดวันให้ลูกได้พบกับเขาก่อนในเร็วๆ นี้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ รอพบวันนั้นเลยก็ได้” ฉันตอบแม่สั้นๆ เพราะไม่มั่นใจนักว่าหากได้พบกัน บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็ได้ และหากเป็นดังนี้ พ่อกับแม่ก็จะเสียใจอีก

พ่อเข้ามาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพ่อจะได้ยินในสิ่งที่ฉันคุยกับแม่ พ่อพูดกับฉันว่า “ทำไมถึงไม่อยากพบกับเขาก่อน พ่อว่าลูกได้คุยอะไรๆ กับเขาก่อนก็น่าจะดีกว่า”

ฉันตอบพ่อไปว่า “อานีได้สนองตอบต่อความต้องการของทั้งพ่อและแม่แล้ว แล้วทำไมพ่อกับแม่จึงไม่ตามอานีบ้าง” แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความเงียบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเลย..


วันนิกาห์ใจฉันวันนี้รู้สึกสับอลหม่านไปหมด มีความดีใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกเศร้าก็ไม่ได้จางหาย บวกกับความสับสนในชีวิต. ช่างลำบากเหลือเหลือเกินที่จะอธิบายถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายในใจของลูกผู้หญิงเช่นฉัน

ญาติๆ และน้องของฉันนั่งรายล้อมข้างๆ ฉัน พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังชายผู้หนึ่ง ใบหน้าที่คมเข้ม ในมาดขรึม สุขุมและเหยือกเย็น พวกเขานั่งในอีกส่วนหนึ่งของบ้าน พร้อมทั้งพ่อฉัน อีหม่าม และพวกผู้ชายทั้งที่เป็นญาติ และคนแถบบ้านใกล้เรือนเคียง

วันนี้คงเป็นวันสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตฉัน อีกซักครู่ก็จะมีการอิญาบและกอบูล กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขา แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อแม่ ฉันก็ขอมอบหมาย ฉันหวังว่าด้วยการเลือกและการตัดสินใจจากครอบครัวเช่นนี้ จะเปี่ยมด้วยเราะห์มัตจากอัลเลาะห์ตะอาลา

ว่าที่สามีของฉันนั่งหันหน้าเข้าหาพ่อฉัน ซึ่งก็คือพ่อตาของเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ดูท่าทีก็เรียบร้อยมาก เห็นปากเขามุมมิบเหมือนกล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน หลังจากนั้น หลายคนในนั้นก็ผงกหัวตาม เหมือนเห็นพ้องต้องกันในสิ่งที่ได้เอื้อนเอยไป

ทุกคนยกมือดุอาอ ที่ได้อ่านโดยผู้ชายคนนั้น

“อานี เป็นภรรยาของเขาแล้วนะ” เสียงกระซิบจากญาติของฉันคนหนึ่งซึ่งนั่งใกล้ฉันตลอด และโดยไม่ตั้งใจ น้ำตาฉันก็รินไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันสับสนในตัวเองมาก ด้านหนึ่งมีความสุขและดีใจ แต่อีกด้านฉันก็เศร้า และเจ็บปวด แต่จากนี้ไป ฉันก็คือภรรยาของเขา ความรับผิดชอบในครอบครัวทั้งจากพ่อและจากแม่ ก็ได้จบสิ้นลงแล้ว พ่อและแม่ฉันได้ปลดปล่อยภาระทั้งมวลสู่ผู้ชายคนหนึ่ง

“โอ้อัลเลาะห์ จงประทานความสุขให้แก่ครอบครัวฉัน จงประทานลูกหลานที่ดีๆ เพื่อ เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณในศาสนาของพระองค์...” ดุอาอ ของฉัน

ฉันครวญคิดถึงชีวิตในบทบาทใหม่ สถานภาพใหม่ที่ฉันได้รับเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ที่ฉันถูกเรียกว่าเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยสถานภาพนี้ฉันจะต้องรับภาระอยู่ไม่น้อย เป็นภาระเฉกเช่นภรรยาที่ดีทั้งหลายพึงปฎิบัติต่อสามี

“ฉันรับภาระนี้ได้หรือ? ” คำถามของฉันเองที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงอยู่ตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ฉันคงไม่สามารถทำหน้าที่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

“อัสสาลามูอาลัยกุม...” เสียงผู้ชายคนหนึ่ง จากประตูห้องของฉัน หลังจากฉันตอบสลามแล้วเขาก็เข้ามา ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างหน้าฉัน ในขณะที่ฉันไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมา ฉันเพียงมองไปที่ขาเขา และพร้อมกันนั้น ญาติๆ และเพื่อนๆ ของฉันก็พากันเดินออกไป

ฉันรู้สึกเหมือนตัวสั่น และหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และหวาดกลัว แล้วเขาก็นั่งลงข้างหน้าฉัน ส่วนฉันก็ยังไม่กล้า ที่จะมองหน้าเขา ฉันคิดว่าเขาคงรู้ถึงความรู้สึกของฉันในเวลานี้

“ยาฮาบีบี” ถ้อยคำแรกที่ฉันได้ยินจากปากเขา เสมือนหนึ่งต้องการประโลมใจฉัน และให้ฉันมองหน้าเขาฉันพยายามบังคับตนเองให้ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา และในทันใดเขาก็ยื่นมือขวาและจับมือซ้ายของฉัน พร้อมกับบรรจงสวมแหวนทองในมิ้วนางของฉัน

ฉันพยายามบังคับตนเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเรียกเขา “อาบัง” และเราก็สลามต่อกัน จากนั้นฉันก้มลงจูบมือเขา และฉันก็พูดว่า “อานีขอมอบหมายตัวและชีวิตของอานีสำหรับบัง อานีหวังว่าบังจะรับได้ในทุกอย่างจากอานี เท่าที่อานีมีอยู่นี้ ด้วยความอิคลาสจากใจของบัง”

เราจะร่วมกันสร้างชีวิต และร่วมกันก้าวเดินสู่ครอบครัวสากีนะห์” เขาตอบ และให้สัญญากับฉัน นี้คือครั้งแรกที่ฉันได้พบและได้คุยกับสามี ก่อนหน้านี้ฉันเพียงได้ดูรูปเขาที่แม่ให้มา


วันแรกผ่านไป โดยเขากลับบ้าน และพบกันอีกครั้งหนึ่งในวันวาลีมะห์ ในงานเลี้ยงครอบครัวฉันได้จัดอย่างเรียบง่าย แต่ก็ครึกครื้นมาก เพราะญาติพี่น้องทุกคนได้มากันหมด รวมทั้งเพื่อนๆ โดยเฉพาะในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน

ในขณะเดียวกันทั้งญาติพี่น้องฝ่ายสามี รวมทั้งเพื่อนๆ เขา ก็มากันเยอะ เกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ความตั้งใจที่จะทำแบบเรียบง่าย และเล็กๆ ในตอนแรก แต่เมื่อมาถึงวันจริงกลับมากันมาก ทุกคนก็เหนื่อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ฉัน

ฉันสังเกตว่า สามีฉันเป็นคนที่มีบุคลิกภาพและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมาก วันนี้เขาใส่ชุดขาว และเน้นความเป็นท้องถิ่น ดูแล้วช่างเป็นรสนิยมที่หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเขามาก

ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยลืมในการขอดุอาอต่ออัลเลาะห์ ให้ประทานสามีที่ดี สามีที่สามารถเป็นผู้นำในการประคับประคองชีวิตฉันให้ก้าวเดินบนทางที่เที่ยงตรง ทางที่ได้รับการยอมรับจากพระผู้อภิบาล เขาคนนั้นจะต้องรักฉันในฐานะภรรยาฉันไม่เคยคิดอยากได้คนที่มีฐานะ หรือคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เหมือนกับที่เพื่อนๆ ฉันเขาเห่อกัน และมุ่งมั่นอยากจะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนฉันไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ฉันขอเพียงให้เขาคนนั้นเป็นคนที่มีศาสนา และมีความสุขร่วมกันกับฉัน บนพื้นฐานของความพอดี พอมี และพอเพียง

และไม่เคยลืมดุอาอให้ฉันได้ลูกที่ซอและห์ เพื่อเป็นองค์ประกอบที่สุดพิเศษในครอบครัว เสียงอาซานมักริบ จากมัสยิดในหมู่บ้านดังกังวานไปทั่ว ปลุกความรู้สึกของพวกเราทุกคน ให้ต้องละทิ้งภารกิจอื่นใดทั้งปวง

แม้ว่าในตอนนี้แขกเรื่อกลับไปหมดแล้ว แต่การจัดข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น และคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการเคลียร์ทั้งหมด

“เราค่อยมาจัดภายหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ไปละหมาดกันก่อน” เสียงของพ่อจากในบ้าน บอกกับพวกเรา

ในห้องโถงของบ้าน ฉันเห็นน้องๆ ของฉันกุลีกุจอกันปูเสื่อและผ้าสะญาดะห์ ซึ่งก็เป็นบรรยากาศปกติภายในบ้านของฉัน เมื่อใดก็ตามแต่ที่ทุกคนกลับมาบ้านและอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เราก็จะละหมาดร่วมกัน

นี้คือสิ่งที่ครอบครัวฉันได้ถือปฏิบัติเรื่อยมา

ทุกคนพร้อมในที่ละหมาดแล้ว คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่ช้ากว่าเพื่อน และเมื่อฉันพร้อม ก็เข้าร่วมในแถวสุดท้ายร่วมกับแม่และน้องสาว น้องชายฉันอีกอมะห์เสร็จ พ่อก็บอกให้สามีฉันขึ้นไปเป็นอีมามนำละหมาด ตอนแรกดูเขาไม่กล้าขึ้นไป แต่เมื่อเขามองหน้าฉัน และฉันก็ผงกหัวให้ เขาก็เดินขึ้นนำละหมาดทันที

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (3)

หลังจากจบสิ้นการอีญาบและกอบูล วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฉัน และวันนี้ก็เป็นวันแรกอีกเช่นกัน ที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากๆ ที่ได้ละหมาดร่วมกับเขา เขาในฐานะอีมาม จากเสียงอ่านในละหมาดของเขา ทำให้ฉันรู้สึกปลื้มใจจริงๆ เสียงของเขากังวานและชัดเจน อ่านอัลกุรอานได้เสนาะและเพราะพริ้งมาก เหมือนคนอาหรับเลย

บัดนี้ฉันคิดในใจว่า พ่อแม่ช่างเลือกคู่ที่ดีเหลือเกินสำหรับตัวฉัน

“โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าถือเป็นความผิดบาปกับความพลั้งเผลอทั้งหลายของฉัน

โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าได้มอบภาระที่หนักหน่วงให้กับฉัน เหมือนกับที่พระองค์ที่มอบให้กับชนในรุ่นก่อนๆ

โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าให้ฉันต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เหนือกว่าความสามารถของฉัน

โอ้อัลเลาะห์ จงให้อภัยต่อความผิดบาปของฉัน และจงประทานเราะห์มัตแก่เหล่าชนผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยเถิด

โอ้อัลเลาะห์ จงประทานต่อฉัน สำหรับการเป็นภรรยาและสามีที่ดี ตลอดจนประทานลูก ๆ ที่ซอและห์ และจงทำให้เราทุกคน ร่วมอยู่ในกลุ่มชนของบรรดามุตตากีน”

เสียงของเขาอ่านดุอาอ ที่ดูแล้วเต็มไปด้วยความยำเกรง หลังจากเสร็จการละหมาด

หลังจากนั้นเราต่างก็ยื่นมือสลามต่อกัน ฉันเริ่มจากพ่อ แม่ และน้องๆ

ต่อจากนั้นฉันก็เข้าประชิดตัวเขา และยื่นมือสลาม ฉันพูดกับเขาว่า “บังมาอัฟให้กับอานีด้วย” แล้วก้มลงจูบมือเขา เขาจูบที่หน้าผากฉัน

แล้วพูดว่า “โอ้ ฮาบีบี อานีไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใด ๆ กับบังนิ”

พวกเรานั่งพูดคุยในที่ละหมาดจนถึงอีซา และเมื่อละหมาดเสร็จ ฉันเห็นเขาลุกออกไปยังประตูบ้าน

“บังจะไปไหน” ฉันถามเขา

“ของหน้าบ้านยังจัดไม่เสร็จเลย ต้องจัดให้เสร็จก่อน” เขาตอบ แล้วเสียงของพ่อแทรกเข้ามา “วันนี้พักผ่อนก่อน ค่อยจัดพรุ่งนี้ก็ได้”

แต่เขายังยืนกราน “ไม่เป็นไร ยังอีกไม่มาก จัดให้เสร็จในคืนนี้เลยก็ได้” เขาตอบกับพ่อ

ฉันเข้าห้องเปลี่ยนชุดแต่งกาย และลงไปช่วยจัดข้าวของต่างๆ ในเต็นท์ร่วมกับเขา

ดูเขาง่วนกับงานที่อยู่ข้างหน้ามาก ไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันเดินลงมาช่วยเขาด้วย.

ฉันแกล้งเดินไปชนหลังเขา เขาก็สะดุ้งสุดตัว ฉันรู้สึกว่าเขาจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากก็ได้

เขาถามฉันว่า “ลงมาตั้งแต่เมื่อไร”

"ก็ 4- 5 นาทีนี้เอง มุ่งมั่นทำงานจังเลยนะ อานีลงมาทั้งคนยังไม่รู้สึกอะไรเลย” ฉันตอบเขา

“มาอัฟให้บังด้วย บังไม่รู้สึกตัวจริงๆ” เขาตอบกลับมา และในทันใดเขาก็เข้ามาประชิดตัวฉัน แล้วพูดว่า “อานีไม่โกรธบังนะ”

พูดจบเขาก็โอบไหล่ฉัน ฉันมองหน้าเขา และโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็หอมแก้มฉัน “ไม่ได้นะ เดียวคนในบ้านจะเห็น” ฉันห้ามเขา “ไม่เห็นจะต้องอายตรงไหนเลย ยังไงๆ ก็เซาะห์แล้ว” เขาตอบกลับ

และฉันก็ตอบไปในทันทีว่า “ก็ถูกต้องในสิ่งที่บังได้ว่ามา แต่ให้ดูสถานที่ด้วยซิ ถ้าอยู่กันแค่ 2 คน บังจะทำเกินกว่านี้อานีก็ให้ได้” แล้วเขาก็หัวเราะ

หลังจากได้นิกาห์มา วันนี้ก็เป็นวันแรก ที่เราได้คุยหยอกล้อกัน ในฐานะผู้หญิงฉันรู้สึกมีความสุขมาก และถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชาย และดูเขาก็มีความใส่ใจกับฉันมาก

ความสุขเช่นนี้ ไช่ว่าใครๆ สามารถมีได้ สุขที่ได้ร่วมชีวิตกับคนที่รัก ช่างเป็นนิอมัติสำคัญที่อัลเลาะห์ได้ให้มา ยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่เซาะห์ ภายใต้บทบัญญัติทางศาสนาแล้ว ความสุขนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ชีวิตฉันไม่เคยมีความรักกับใคร แม้ในช่วงที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ที่เพื่อนๆ ฉันส่วนใหญ่เขามีกัน แต่ฉันไม่ แม้จะมีใครมาทำท่าสนใจอย่างไร ฉันก็ไม่สน เพราะสิ่งที่ฉันถือปฎิบัติมาโดยตลอดก็คือ รักแท้จะต้องเกิดขึ้นภายหลังการนิกาห์แล้วเท่านั้น

แต่ความรู้สึกในเบื้องลึกของคน คงยากนักที่จะอธิบายให้ใครได้เข้าใจ ยิ่งความรู้สึกของลูกผู้หญิง แม้วันนี้ฉันอยู่เคียงข้างเขา เขาคือชายผู้เป็นสามีฉัน แต่ฉันกลัว กลัวหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ต้องแบกรับภาระความเป็น “ภรรยาที่ซอลีหะฮ์” ภรรยาที่มีเกียรติในสายตาสามี และในบริบททางศาสนา

“อานี คิดอะไรอยู่” ถึงคราวที่ฉันต้องสะดุ้งต่อ เมื่อสามีมาลูบหัวฉัน ในขณะที่ฉันเหมือนหลุดอยู่ในภวังค์

“บัง ทำให้อานีตกใจ รู้หรือเปล่า” ฉันแกล้งพูดทำเป็นงอน ด้วยอยากรู้ว่าเขาจะง้อฉันอย่างไร

“โอ้ ฮาบีบี แค่นั้น ก็ทำเป็นโกรธหรือ” เขาพูดแล้วหยิกแก้มฉัน

และฉันก็ตอบเขาไปว่า “คืนนี้ บังนอนใต้เตียงคู่กับยุงก็แล้วกัน เพราะภรรยาของบัง เขาไม่สบอารมณ์กับบัง น่าสงสารจัง”

แล้วสามีฉันก็เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่า “อานี ตกลงเราจะไปฮันนี่มูนกันที่ไหนดี?”

ฉันตอบเขาว่า “อานีพร้อมไปทุกที่ สุดแท้แต่บังจะพาไป”

“ถ้าบังพาไปสู่ดวงดาว และดวงจันทร์ อานีจะตามไปกับบังไหม?” เขาตอบกับฉัน

“ถ้าบังมีเงินมากขนาดนั้น เราไปตั้งรกรากบนดาวดวงอื่นเลยดีไหม ?” ฉันตอบเขา แล้วเขาก็หัวเราะ

เมื่อจบเสียงหัวเราะเขาก็ถามฉันต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความใส่ใจว่า “ยาฮาบีบี ตกลงเราจะมีลูกกันกี่คน”

“แล้วบังต้องการกี่คนล่ะ” ฉันถามเขาต่อ

“บังต้องการให้มากที่สุด ว่าแต่อานีจะไหวหรือ?”

“เอ๊ะ บังเห็นอานีเป็นโรงงานผลิตลูกหรือไง?” ฉันตอบเขา

แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้งหนึ่ง ฉันดูเขาช่างเป็นคนที่หัวเราะง่ายจังเลย

แล้วเขาก็ตอบฉันว่า “ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เพียงแต่ว่าถ้าได้ลูกหลายๆ คนก็จะดี บังอยากได้ลูกหลายคน ทั้งลูกชายและลูกสาว อยากมีให้เท่าๆ กัน

ฉันตอบเขาว่า “อินซาอัลเลาะห์ถ้ามีริสกี อานีก็พร้อม”เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็เห็นสามีฉันยิ้มระรื่น แล้วพูดว่า “นี้แหละที่ทำให้บังเพิ่มความรู้สึกรัก และหวงต่ออานีเป็นกองเลย” พูดจบเขาก็หอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่ง

นิอมัตสำคัญของการเป็นลูกผู้หญิงก็คือการได้รับความรัก อย่างเต็มเปี่ยมจากผู้เป็นสามี ยิ่งคนดีๆ อย่างเขา ทำให้ฉันเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ผีเสื้อ ลำธาร น้ำผึ้ง บุหงา ลดามาลย์ และมีลมโชยพัดโรยระริน เป็นอาจิณตลอดกาล...

“อานี บัง ขึ้นมาทานข้าวก่อน” เสียงของแม่ดังมาจากบนบ้าน เรียกเราสองคนให้ขึ้นไปทานอาหารมื้อค่ำ

ฉันจูงมือสามี เดินขึ้นบ้าน พบว่าแม่ได้เตรียมอาหารพร้อมไว้แล้ว ทั้งพ่อและน้องๆ ก็นั่งกันพร้อมหน้า อาหารมื้อนี้คงจะเป็นมื้อที่พิเศษที่สุด เพราะนอกจากจะหิวมากๆ แล้ว เพราะต้องดูแลแขกที่มาในงาน เป็นงานแรกของบ้านนี้ แม้ไม่ได้จัดอย่างใหญ่โต แต่เพื่อนๆ ฉันทุกคนที่ทราบข่าว ต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีขาดเลยแม้ซักคนเดียว ฉันรู้สึกประทับใจกับเพื่อนๆ จริงๆ และที่สำคัญมื้อนี้ก็เป็นมื้อแรกที่ได้ทานร่วมกับเขา และทุกคนในครอบครัว ช่างเป็นมื้อที่พิเศษมาก

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (4)


ในห้องของฉัน ซึ่งฉันเป็นคนจัดเองทั้งหมด ฉันดูแล้วก็สวยงามใช่ย่อยเลย ฉันอดจะภูมิใจในฝีมือของตนเองไม่ได้

และห้องนี้ก็คือห้องของฉันกับเขาในคืนแรกนี้ คืนที่น่าจะเป็นคืนที่สวยงามที่สุดและพิเศษที่สุดสำหรับชีวิตของสามีภรรยา ในคืนแรกของฉันกับชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี

ฉันรู้สึกกลัว และ รู้สึกใจเต้นไม่เป็นปกติ พะวักพะวงกับสิ่งที่ต้องเป็นไป ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

และแล้วเสียงเคาะประตูห้องฉันก็ดังขึ้น ซึ่งก็เพิ่มความรู้สึกพะวักพะวง ตื่นเต้นและตกใจสำหรับฉันมากขึ้น

แน่นอนคนที่เข้ามาก็ไม่ไช่ใครที่ไหน หากแต่เขา สามีฉัน “เชิญเข้ามาประตูไม่ได้ล๊อค” ฉันบอกเขาไป

เขาเข้ามาและปิดประตูห้องเบาๆ แล้วก็ลงนั่งใกล้ฉัน

คำแรกที่เขาเอ๋ยกับฉัน “ทำไมดูซึมเศร้า ไม่ดีใจหรือที่ได้อยู่กับบัง”

ฉันทำได้แค่ส่ายหัว เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่เขาก็พยายามคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้

สุดท้ายฉันก็ตอบไปว่า “อานีกลัวบัง”

เขาเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น และเอาลูบไล้ผมของฉัน “มีอะไรที่ทำให้ต้องกลัวจากบังหรือ? เราจะต้องช่วย และร่วมมือกันเพื่อครอบครัวสากีนะห์”

เขาพยายามปลอบประโลมฉัน ฉันตอบเขาไปว่า “อานีกลัวว่าอานีไม่สามารถทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของบังได้ อานีอ่อนแอในหลายๆ อย่าง อานีคิดว่าซักวันหนึ่งบังจะรับอานีไม่ได้ อานีกลัว....”

ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบเขาก็เอานิ้วมาแตะปากฉัน ไม่อนุญาตให้ฉันได้พูดอีกต่อไป

“ยาฮาบีบี วันนี้อานีในฐานะภรรยาของบัง บังรับในทุกอย่างจากอานีเท่าที่อานีมี บังรับทุกอย่างจากสิ่งดีในตัวของอานี ซึ่งก็เท่ากับที่บังต้องรับทุกๆ อย่างจากความอ่อนด้อยในตัวของอานี จึงอย่าได้คิดอะไรมากเลยกับเรื่องของชีวิต และอย่าได้กังวลว่าบังจะไม่พอใจใดๆ กับอานี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และแสดงความใส่ใจอย่างสุดซึ้ง และฉันก็สนองตอบในสิ่งที่เสนอมา

“อานี บังต้องขอไปอาบน้ำก่อน เพราะรู้สึกเหนียวตัว” เขาบอกกับฉัน และฉันก็ลุกขึ้นไปเอาผ้าขนหนู และผ้าโสร่งในตู้ หยิบให้เขาเขารับผ้าขนหนูไป ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก่อนที่เดินเข้าห้องน้ำ เขาก็ก้มลงหอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่ง

คืนนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ก้อนเมฆหนาทึบบดบังทั้งแสงจันทร์และดวงดาว เสียงสัตว์กลางคืนเงียบหายไป มีแต่เสียงฟ้าร้อง จากที่ไกลๆ ผ่านห้องฉันเข้ามา อีกไม่นานฝนคงจะตกลงมา เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผืนดินและทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้

ฉันเพ่งพินิจไปในทุกส่วนของห้องนอนของฉัน ที่ฉันจัดและตกแต่งด้วยตนเองเท่าที่ความสามารถของตัวเองทำได้ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องน้ำฉันได้จัดเตรียมชุดนอนให้เขา และฉันเองก็เปลี่ยนชุดแต่งกายของตนเองรอสามี ด้วยใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ

แล้วซักครู่เขาก็ออกมาจากห้องน้ำ เขายิ้มมายังฉัน แล้วพูดว่า “โอ้ฮาบีบี ช่วยเอาน้ำให้บังซักแก้วซิ หิวน้ำเหลือเกิน"

ฉันหยิบชุดนอนให้กับเขา แล้วออกไปเอาน้ำจากในห้องครัว ฉันเหลือบไปดูนาฬิกาบนเพดาน ปรากฏว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

เมื่อเข้าห้องอีกครั้งหนึ่ง ฉันเห็นเขานั่งดุอาอบนสาญาดะห์ ด้วยถ้อยคำบางอย่างทีฉันไม่สามารถได้ยินได้

ฉันนั่งรอเขาบนเตียง รอจนกว่าเขาจะดุอาอเสร็จ และเมื่อเสร็จแล้วเขาก็ลุกขึ้นมานั่งชิดกับฉัน แล้วฉันก็ยื่นแก้วน้ำให้กับเขา

“บัง...” ฉันเรียกเขา “มีอะไรหรือ” เขาตอบกลับ ฉันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็จับจ้องมายังฉัน และใช้สายตาเพื่อคาดคั้นให้ฉันพูดออมาให้ได้

“คืนนี้บังจะ...จะ..” ฉันรู้สึกขัดเขินใจอย่างยิ่งที่จะพูดต่อให้จบ

“จะอะไรหรือ” เขาถามฉัน

“โอ้บังนิ..” ฉันรู้สึกอายตนเอง เมื่อคิดว่าเขาคงอ่านความคิดของฉันออกแล้วแล้วเขาก็กระซิบข้างหูฉันว่า
“ไช่ซิ คืนนี้ จะเป็นคืนที่พิเศษที่สุดสำหรับเราสองคน”

ฉันทำได้เพียงผงกหัวเบาๆ ด้วยคิดอยู่ในใจว่าในฐานะภรรยา ก็ต้องพร้อมสำหรับสิ่งที่เป็นความต้องการของสามี ฉันต้องพร้อมทั้งกายและใจเพื่อเขา ที่ไม่ขัดแย้งกับหลักซารีอะห์

“อัสสาลามูอาลัยกุม โอ้ประตูแห่งเราะห์มัต” เขากระซิบเบาๆ ข้างหูฉัน

และในทันใด ฉันก็ตอบเขาไปว่า “วาอาลัยกุมุสลาม สำหรับผู้ถือสิทธิที่มีเกียรติ”

ครั้งแรกในชีวิตฉันที่ได้ผ่านบรรยากาศในยามค่ำคืนกับคนที่เป็นสามี ตัวฉันคงเปรียบได้เสมือนท้องนา ที่เขาในฐานะผุ้ถือกรรมสิทธิ์ ที่มาปักและดำหว่าน...

ก่อนการแต่งงานฉันได้อ่านตำรับตำราที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตคู่หลายต่อหลายเล่ม ฉันจึงพยายามที่จะทำให้สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มา นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ฉันจะต้องเป็นภรรยาที่ดีที่สุดสำหรับสามีฉัน ฉันต้องทำให้สามีมีความสุขที่สุดที่ได้มาอยู่กับฉัน ฉันต้องเป็นเสมือนหนึ่งราชินีในบ้านที่ผูกพันทั้งกายและใจสำหรับผู้เป็นสามี

ท่านศาสดากล่าวว่า “ภรรยาที่ดีก็คือคนที่สามารถสร้างความสงบในสติอารมณ์ให้กับเจ้าได้ เมื่อเจ้าได้มองไปยังเธอ เธอต้องมีความภักดีต่อเจ้า เธอหมั่นดูแลและรักษาตนเอง และทรัพย์สินของเจ้าเมื่อเจ้าไม่อยู่”

ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า “เหล่าสตรีนั้นคือผู้ดูแลในบ้านของสามี และสิ่งนี้จะถูกถาม”

ท่านศาสดา ได้กล่าวไว้ว่า “ภรรยาที่ดีก็คือสิ่งที่ดีเลิศที่สุดเหนือสิ่งที่มีคุณค่าใด ๆ ในโลกนี้”

ท่านศาสดา ได้กล่าวไว้ว่า “แท้จริงแล้วสตรีที่ดี ก็คือสตรีที่สามารถให้ลูก สตรีที่ยิ่งใหญ่ในความรัก สตรีที่สามารถรักษาเรื่องราวภายในครัวเรือนได้ สตรีที่มีจิตใจอ่อนโยนกับทุกเรื่องราวในครอบครัว สตรีที่เคารพในตัวสามี สตรีที่หมั่นดูแลตนเองเพื่อสามี สตรีที่ควบคุมตนเองในการติดต่อใด ๆ กับชายอื่น....”

แท้จริงแล้ว การแต่งงาน และการมีครอบครัว หาไช่เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ใครๆ สามารถทำเป็นเรื่องธรรมดา ได้ การแต่งงานถือเป็นการฮาลาล สำหรับสิ่งที่เคยหะรอมสำหรับก่อนหน้านั้น สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจอย่างถึงแก่น ในครอบครัวจำเป็นที่จะต้องมีความอ่อนโยน โอนอ่อนผ่อนปรน และมีความเชื่อมั่นในระหว่างกัน ถ้าไม่ไช่เพราะสิ่งนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนทั้งสองเพศ ที่มาจากที่ต่างกัน บุคลิกภาพที่ไม่เหมือนกัน พื้นฐานทางการเลี้ยงดู การอบรม และการศึกษาที่ต่างกัน จะมาใช้ชีวิตร่วมกันได้

เพราะการดำรงชีวิตครอบครัว ก็ไม่ต่างอะไรกับการล่องเรือในมหาสมุทร ที่ไช่ว่าท้องทะเลจะราบเรียบตลอดเวลา บางช่วงบางตอนก็ต้องเจอกับคลื่นลมและมรสุม ...

ก่อนถึงวันนั้น อันเป็นช่วงจังหวะตอนที่สำคัญของชีวิต เราจึงต้องศึกษาในหลายๆ วิชาความรู้ ความรู้ที่เกี่ยวกับครอบครัว ความรู้ที่เกี่ยวกับการเป็นพ่อเป็นแม่ ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตวิทยาของเด็ก ๆ ฯลฯ จึงอย่าได้มีใครที่คิดเรื่องนี้ แต่ไม่พร้อมที่รับผิดชอบในทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา และชีวิตของคนที่จะมาร่วมเคียงข้างเรา

เราอย่าได้คิดถึงเรื่องของการสนองนัฟซูอย่างเดียว เราต้องคิดถึงความรับผิดชอบที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งในฐานะสามี ในฐานะภรรยา ในฐานะพ่อ และในฐานะแม่ เราสามารถรับผิดชอบในทุกเรื่องเหล่านี้ได้ไหม ซึ่งเป็นความรับผิดชอบทั้งในดนยาและต่อเบื้องหน้าของอัลเลาะห์ในวันอาคีเราะห์ความรับผิดชอบเหล่านั้น ถือเป็นอามานะห์ ที่ทุกคนมิอาจจะละเลยได้

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (5)

เสียงไอ ดังอย่างต่อเนื่องข้างเตียงฉัน ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา หลังจากที่หลับได้ไม่นาน ในคืนแรกคู่กับสามีฉัน

เมื่อลืมตาขึ้นมา ฉันก็เห็นเขานั่งอยู่บนซาญาดะห์ พร้อมกับอาการไอ ไม่หยุด ฉันดูแล้วรู้สึกผิดปกติอย่างยิ่ง อาการที่เกิดขึ้นนี้คงไม่ไช่เล็กน้อย ฉันเห็นเขาเอามือบีบที่หน้าอก

ฉันลุกขึ้นมา ลงจากเตียงแล้วเข้าไปใกล้เขา“บังเป็นอะไรนิ” ฉันถามเขา และรู้สึกกังวลมาก เกรงว่าเขาจะมีโรคอะไร ที่ฉันยังไม่รู้

“บังไม่ได้เป็นอะไรมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวไปก็ได้” เขาตอบฉันเราเงียบชั่วเวลาหนึ่ง

แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “อานีไปอาบน้ำเถิด พ่อแม่ และน้องๆ กำลังรอละหมาดพร้อมกับเราข้างนอก”เขาบอกกับฉันแล้วยิ้ม พร้อมกับเพ่งมองมาที่ตัวฉัน ทำเอาฉันต้องอาย และหลุดคำพูดออกไปว่า “ทะลึ่งจริงๆ เลยบังนิ”

ในตอนที่ฉันยังอยู่ในห้องน้ำ ก็ยังได้ยินเสียงไอจากเขาอยู่

ในที่ละหมาดของบ้าน คุณพ่อฉันขยั้นขยอให้เขาเป็นอีมามนำการละหมาดอีกต่อไป แม้เขาจะบ่ายเบี่ยงโดยอ้างถึงสุขภาพก็ตาม แต่พ่อฉันก็ยืนกรานให้เขานำละหมาดให้ได้

สุดท้ายเขาก็ต้องยอมตามพ่อฉันในตอนละหมาด ซึ่งเป็นไปอย่างไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เพราะเขายังไอไม่หยุด ทำให้การอ่านซูเราะห์ขาดหายไปบ้าง บางครั้งก็ต้องเริ่มอ่านใหม่

ฉันเริ่มกังวลมากขึ้นละหมาดเสร็จเขาอ่านดุอา ถึงแม้เสียงเขาตอนนี้จะเบามาก แต่ฉันก็พอได้ยิน ฉันดูหน้าเขาค่อนข้างจะซีด ฉันถามถึงอาการของเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังยืนยันไม่ได้เป็นอะไรมาก โดยอ้างถึงอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวมากเมื่อคืนนี้

คุณพ่อและแม่ฉันก็ดูกังวลไม่ต่างกัน แม่บอกให้ฉันเอายาแก้ไอจากตู้ยาในบ้านมาให้เขาฉันป้อนยาน้ำสำหรับแก้ไอให้เขา และให้เขาดื่มน้ำตาม เขากล่าวขอบคุณ แล้วฉันก็บอกเขาให้เข้าห้องเพื่อพักผ่อน

แต่ก่อนที่เขาจะเอนกายนอน เขาพูดกับฉันว่า “บังขอมาอัฟด้วย ที่สร้างภาระให้กับอานี”

“ทำไมบังพูดเช่นนั้น อานีไม่ได้ลำบากอะไรเลย แม้ซักนิดเดียว” ฉันตอบเขา เขาตอบฉันว่า “บังรู้ว่า อานีต้องลำบากใจไม่น้อยกับอาการของบังที่ต้องเป็นอย่างนี้ ที่จริงแล้ว สำหรับวันแรกนี้ บังต้องทำให้อานีมีความสุขมากกว่านี้ แต่เมื่อสุขภาพไม่เอื้ออำนวย บังต้องขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกบัง อานีในฐานะภรรยา อานีต้องพร้อมเสมอสำหรับทุกอย่างจากบัง” ฉันตอบเพื่อเอาใจเขา แม้ว่าในส่วนลึกของใจฉัน มีความรู้สึกที่วิตกกังวลอย่างยิ่งเขาคงเห็นถึงความกังวลของฉัน

เขาพูดว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บังคนนี้รักอานีเสมอ อานีคือหนึ่งเดียวในใจบัง”

ฉันบอกเขาอีกว่า “นอนเถิดบัง ไม่ต้องกังวลถึงอานีหรอก” แล้วฉันก็ดึงผ้าเอามาห่มตัวเขา และก้มลงจูบที่หน้าผากฉันดูเขาทำท่าจะเหนื่อยเอามากๆ ก่อนที่เขาจะหลับ ฉันได้ยินเขาพูดพึมพำไม่ค่อยจะได้ความนัก แต่ที่ชัดเจนก็คือ ให้ฉันมาอัฟให้กับเขา

ฉันมองหน้าสามีอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ในตอนที่เขาหลับ ในท่าที่สงบและเรียบร้อย ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่ได้มองไปยังเขา หน้าตาของเขาอยู่ในขั้นดีมาก ๆ ใบหน้าที่ผ่องใส ทั้งหนวดและเคราถูกดูแลอย่างดี อารมณ์ของลูกผู้หญิงเช่นฉัน บอกกับฉันว่า ประทับใจจริงๆ และรู้สึกชอบเขามากๆ

ก่อนที่จะลุกออกจากเตียง ฉันไม่ลืมที่จะดุอาอต่ออัลเลาะห์ ขอให้ชีวิตครอบครัวฉัน จงมั่นคง และยั่งยืนตลอดชั่วชีวิต

แต่ตักดีรจากอัลเลาะห์ ไม่มีใครสามารถฝืนได้ กอฎอและกอดัรจากพระองค์ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องยอมรับ ทั้งเกิด ตาย ริสกี ดีและชั่ว ของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วนับตั้งแต่เขาอยู่ในท้องของมารดาฉันในฐานะบ่าวของพระองค์ที่อ่อนแอ จะต้องยอมรับกับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วนี้ ด้วยไจที่สงบ และเต็มไปด้วยความภักดีต่ออัลเลาะห์ อย่างไม่คลอนแคลน

ในตอนที่ฉันปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาเพื่อทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคนในครอบครัว หลายครั้งที่ฉันเรียกชื่อเขา แต่เขาเงียบ ฉันจับและเขย่าตัวเขาเบาๆ ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ฉันเขย่าแรงขึ้น เขาก็เงียบ ฉันจับมือเขา เย็นเชียบ จับชีพจร ก็เงียบ ...

“ม๊ะ” ฉันเรียกแม่สุดเสียง แล้วฉันก็ร้องให้ ด้วยใจที่รวดร้าวสุดที่จะควบคุมตนเองไว้ได้ ทุกคนเข้ามาในห้อง และมองไปยังเขา กับร่างกายที่วิญญาณถูกปลิดปลิวไปแล้ว

ใครจะไปคาดคิดว่า วันแรกที่ฉันได้อยู่กับสามีที่เพิ่งจะได้รู้จัก จะเป็นวันสุดท้ายด้วยฉันได้รู้จักเขาเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เขาได้จากฉันไปตลอดชีวิตแล้ว มิน่าล่ะเขาถึงได้ขอมาอัฟจากฉันหลายครั้ง

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (6)

“จงซูโกรต่ออัลเลาะห์เถิดอานี เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีเด็กคนนี้” แม่พูดเพื่อปลอบใจฉัน ในวันนี้ วันที่ฉันคลอดลูกคนนี้ ลูกของเขาที่ได้จากฉันเมื่อหลายเดือนที่แล้ว

วันนี้ทายาทจากสามีฉันลืมตาดูโลกนี้ฉันมองไปยังลูกชายของฉัน ที่หลับสนิทข้างกายฉัน.

นี้แหละตักดีรจากอัลเลาะห์ แค่คืนแรก ทุกอย่างก็ลงเอยอย่างนี้

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ฉันจะโอบอุ้ม ปกป้องและคุ้มครองเด็กน้อยคนนี้ เท่าชีวิตของฉัน จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นหรือมาบั่นทอนรักที่ฉันมีให้ลูกนี้ ตราบเท่าจบสิ้นชีวิตดนยาของฉัน.

โอ้ อัลเลาะห์ จงนำวิญญานเขาให้ได้อยู่คู่กับเหล่าซอลีฮีน

โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ลูกชายฉันคนนี้ เป็นเสมือนอัญมณีคู่กับทุกคนในครอบครัวฉัน ให้ความสุขกับฉัน และทุกคนใน ครอบครัว

โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ความรักและคุ้มครองต่อลูกฉันนี้ จงให้เหมือนกับพ่อเขาที่ภักดีต่อพระองค์เสมอ

โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ลูกฉันคนนี้ จงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อศาสนาของพระองค์ และร่วมอุทิศตัวเองเพื่อความสว่างไสว ของอิสลามอามีน....

Monday, October 30, 2006

ความรักต้องคิดและมอง

นานมาแล้วฉันเคยถูกจับให้ไปเล่นเกมๆ นึงแบบที่ชั้นไม่ เต็มใจ แต่พอเล่นไปแล้วก้อประทับใจมากเลยทีเดียว มันเป็นเกมเกี่ยวกับความรัก...

...มีคนตั้งขึ้นมาว่า จะมีสะพานไม้เล็กๆ อยู่ ให้เดินไปจนถึงโดยที่หลับตา ถ้าใครสามารถเดินไปถึงได้โดยไม่ตกลงมา คุณและคู่รักของคุณจะเป็นเนื้อคู่กันตลอดไป...

ทุกคนจึงพยายามเดินแล้วหลายรอบ แต่ก้อตกลงมาทุกที บางคนถึงกับคิดว่าชั้นคงไม่มีเนื้อคู่แล้วล่ะ สิ

จนมีคนๆ นึงเดินไปถึง และไม่ตกลง มา ทุกคนก้อถามว่าเดินยังไงหละถึงไม่ตก..พอคนๆ นั้นตอบทุกคนก้อเงียบไป เลย

เค้าบอกว่า "ชั้นแอบลืมตาเดินไง"...

ลองคิดดูซิ
เพื่อความรัก ทุกคนยอมหลับตา..และยอมปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ทุกคนผ่านมัน โดยไม่มองอะไรเลย..เค้าสั่งให้หลับตาเดินก้อยอม แล้วมันจะไปถึงได้อย่างไร..ในเมื่อตาเรามองไม่เห็นทาง..เวลามีความรักลองเปิดตา มองให้ไกล..อย่าปล่อยให้ความรักทำให้ตาบอด..ถึงแม้ลืมตาเดินแล้วยังตกลงมาอีก ก้อ คงไม่เจ็บเท่าตกลงมาเพราะหลับตาเดิน..เพราะเราจะรู้ว่าต้องตกท่าไหนจึงจะเจ็บ น้อยที่สุด.

Saturday, October 28, 2006

จูบนี้สำหรับแม่


เมื่อตอนที่ฉันยังเล็กอยู่ฉันรู้สึกเป็นภาระอย่างยิ่ง ที่ถูกทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนรับใช้ในบ้านมาโดยตลอด ในทุกอย่างที่เป็นงานบ้าน ทั้งกวาดบ้าน ทำกับข้าวในครัว ในทุก ๆ วัน

ฉัน “ถูกบังคับ” ให้ต้องทำและตื่นแต่เช้าก่อนน้อง ๆ หลังทานอาหารเสร็จฉันต้องล้างถ้วยล้างจาน ทำความสะอาดห้องครัว แม่ไม่ให้โอกาสฉันได้เล่นสนุก ๆ กับเพื่อน ๆ เลย หากว่าภารกิจในบ้านยังไม่เสร็จ บ่อยครั้งที่ฉันต้องบ่นและพูดจาค่อนแคะแม่ เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกินกับภารกิจที่ฉันต้องทำในทุกวัน

**********************

วันนี้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วฉันเริ่มที่จะเข้าใจแม่มากขึ้น เข้าใจในภาระที่แม่ “บังคับ” ให้ฉันต้องทำเพราะฉันจะต้องเป็นภรรยาที่ดีของสามีฉัน ฉันจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก ๆ ของฉัน ซึ่งก็แน่นอนว่าฉันมิอาจจะหลีกเลี่ยง จากภารกิจที่แม่ “บังคับ” ให้ฉันต้องทำเมื่อครั้นที่ฉันยังเล็ก ๆ อยู่

ฉันขอขอบคุณคุณแม่เพราะจากการเคี้ยวเข็ญของแม่ ฉันจึงสามารถเป็นภรรยาที่ดีของสามีฉันได้ และฉันได้เป็นแม่ที่ลูก ๆ มีความภาคภูมิใจในตัวฉัน

เมื่อครั้งแรกสุดที่ฉันได้ไปโรงเรียนในระดับชั้นอนุบาล แม่ไปส่งฉันทุก ๆ วัน แม่ไปส่งถึงประตูห้องและจูบฉันทุกครั้งก่อนที่ฉันจะเข้าห้องไปนั่งในที่นั่งของฉัน และแม่ก็มองฉันด้วยสายตาที่อบอุ่นใจอย่างยิ่ง ก่อนที่จะออกไปจากโรงเรียน ไปทำงานของแม่

ในช่วงเย็นแม่จะมารอรับฉันก่อนเวลาเลิกเรียนเสมอ ฉันมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นแม่นั่งรอฉันอยู่ใต้ต้นไม้ บุคลิกของแม่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม่อดทนได้เสมอสำหรับฉัน แม้แดดจะร้อนจัดเพียงใดหรือฝนจะตกหนักหน่วงแค่ไหน หรือแม่จะทำงานหนักอย่างไร แม่ก็ยังคงมาส่งและมารับฉันด้วยตัวเองเสมอ

พอฉันโตขึ้นฉันไม่ค่อยจะสนใจแม่นัก ฉันจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เสมอ ฉันไม่สนใจว่าตอนนี้แม่เป็นอย่างไร บ่อยครั้งที่แม่เป็นไข้ ฉันก็แค่เลียบเคียงดูอาการแล้วก็ออกไปเล่นกับเพื่อนต่อ

ในตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่น ฉันรู้สึกอับอายมากที่ต้องเดินคู่กับแม่ การแต่งกายของแม่ ที่ฉันดูแล้วเหมือน กับมนุษย์ผู้ด้อยพัฒนา ไม่ทันกับยุคสมัย ซึ่งไม่เหมือนฉันที่แต่งกายตามแฟชั่นที่กำลังเห่อในยุคสมัย เวลาที่ต้องไปไหนกับคุณแม่ ฉันจะไม่เดินคู่กับแม่ ฉันจะเดินนำหน้าแม่ 4-5 ก้าวเสมอ เพราะฉันไม่อยากให้คนรอบข้างเห็นว่าฉันกับแม่มาด้วยกัน

ตามคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เขาพูดว่าตั้งแต่ฉันเกิดมา แม่ไม่มีโอกาสได้ซื้อเสื้อผ้า หรือเครื่อง ประดับใหม่ ๆ เลย เงินส่วนที่เหลือจากค่าอาหารในแต่ละเดือน คุณแม่จะซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับทุกอย่างที่ฉันต้องการ เพื่อให้ฉันดูสวยเสมอ คุณแม่อดทนทุกอย่างเพื่อความสุขของฉัน คุณแม่จะเข้ามากอดฉันทุกครั้งที่เห็นฉันมีสีหน้าไม่สบายใจ และเฝ้าปลอบประโลมฉันไม่ห่างเลย ในยามที่ฉันต้องร้องไห้

เมื่อฉันจบมัธยมปลายและสอบเข้ามหา’ลัยได้ ความรู้สึกแปลกแยกระหว่างฉันกับแม่ก็มีมากขึ้น ฉันรู้สึกว่าฉันฉลาดและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล บ่อยครั้งที่ฉันเห็นว่าแม่ช่างโง่จริงๆ ไม่มีความคิดอ่านอะไรเลย. การสื่อสารระหว่างฉันกับแม่รู้สึกว่าจะหาจุดลงตัวยาก สุดท้ายสิ่งที่ฉันคุยกับแม่ก็แค่เรื่องเงินค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนและค่าใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวันของฉันเท่านั้น

หลังจบจากมหาวิทยาลัย ฉันเริ่มที่จะสำนึกว่า แม่คนที่ฉันมองว่าโง่ ไม่มีความคิด และไม่เข้าใจอะไรเลยนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นผู้ให้กำเนิดและให้การเลี้ยงดูลูกน้อยให้ฉลาดและเก่ง อย่างน้อยก็สามารถเรียนจบในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งในหมู่บ้านฉันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสเช่นนี้ ถึงแม้ว่าแม่ไม่มีการศึกษาอะไร แต่จากดุอาของแม่ในทุกหลังละหมาด บวกกับความเคี้ยวเข็ญ ความอดทน ความรักและความเสียสละของแม่ สิ่งนี้มีค่ามากมาย มากยิ่งไปกว่าความสำเร็จที่ฉันได้รับมาในวันนี้หลายเท่านัก หากไม่ใช่เพราะแม่คนนี้ คงไม่มีชีวิตฉันที่เปี่ยมล้นด้วยความอิ่มเอิบใจในวันนี้แน่ ๆ

***************************

ในวันแต่งงานของฉัน คุณแม่นั่งเคียงข้างฉันตลอด คุณแม่ได้ย้ำเตือนฉันไห้ต้องอดทน สำหรับการก้าวย่าง เข้าไปสู่ช่วงชีวิตใหม่. เมื่อใดที่ฉันมองหน้าคุณแม่

ฉันได้สัมผัสและรับรู้ ถึงความอบอุ่นใจที่ฉายแววในสายตาของคุณแม่ รอยยิ้มของคุณแม่ชั่งอบอุ่นเหลือเกิน อบอุ่นยิ่งกว่ารอยยิ้มของสามีฉันซะอีก

หลัง อิญาบ กอบูล เสร็จสิ้นลง คุณแม่ก็ได้มากอดและจูบฉัน เป็นความอบอุ่นอย่างสุดแสนที่ฉันจะพรรณนาออกมาได้ และโดยพลันก็ทำให้ฉันระลึกถึง “จูบแรก” ที่ฉันได้รับจากคุณแม่เมื่อครั้นที่ฉันเกิดมา.

วันนี้ฉันต้องสาระวนกับภารกิจในบ้านของฉัน ฉันไม่ค่อยจะมีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านเดิมนักฉันหวังอยากเป็นภรรยาที่ดี มีความซื่อสัตย์ต่อสามี แม้ว่าฉันจะอาลัยอาวรณ์และคิดถึงแม่เหลือเกินโดยเฉพาะในวันนี้ วันที่ฉันมีลูก

วันนี้ฉันได้รู้ว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ฉันส่งกลับไปให้แม่เป็นประจำในทุกๆ เดือน มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความรัก ความห่วงหาอาทรจากแม่ และเมื่อเทียบกับที่ฉันต้องกับไปหาแม่ ด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็น “เงิน”

ฉันจะกลับไปหาแม่ ไปกอดและจูบแม่ แม้ว่าจูบนี้จะเทียบไม่ได้กับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านลึกลงไปในหัวใจฉัน อันเนื่องมาจากความรักของแม่ที่มีต่อลูก

นางแอ่นของข้า

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Photobucket - Video and Image Hosting

Friday, September 29, 2006

สำหรับคนสำคัญ

เราอาจจะหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่า เพียงแค่มีบางสิ่ง ชีวิตก็มีความหมายแล้ว มนุษย์เกิดขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว พร้อมด้วยหัวใจคนละ 1 ดวง เมื่อ มนุษย์ 2 คนมาพบกัน เราจึงเรียนรู้ว่า 1 + 1 อาจจะยัง คงเท่ากับ 1 แต่ความโดดเดี่ยวนั้นหายไป ที่ เล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่โตไปกว่ากำปั้น ที่ทำให้เราอยู่รวมกันบนโลกใบนี้อวัยวะที่สะกดด้วยอักษรง่ายๆ ใช้แทนคำว่า "รัก" ได้เป็นอย่างดี

ความรัก ที่ประทับใจขอเก็บไว้ในใจแล้วอมยิ้มนะ
ความรัก ที่ไม่ประทับใจขอเก็บไว้เป็นประสบการณ์
ความรัก ที่ทำเพื่อผู้อื่นเป็นความภูมิใจแบบเก็บไว้เอง
ความรัก ที่ทำเพื่อตัวเองนั่นไม่เรียกว่ารัก
ความรัก ที่คุณเจอในอดีตขอให้เป็นความทรงจำที่แสนดี
ความรัก ที่คุณเจอในปัจจุบันขอให้สมหวังกันทุกคน
ความรัก ที่คุณจะเจอ ในอนาคตให้อธิษฐานกันเอาเองนะ

"ถ้าอ๊อกซิเจนทำชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้ ความรักก็ทำให้การมีชีวิตนั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น"

เคยมั้ยที่จะมี คุณเคยมีคนแบบนี้ที่ไม่ ใช่พ่อแม่พี่น้องหรือยัง? ตอบตัวเองให้ได้ว่าใคร
เคยมั้ยที่จะมี...คนให้อภัยคุณทุกอย่าง
เคยมั้ยที่จะมี...คนอยู่เคียงข้างคุณเวลาที่คุณเสียใจ
เคยมั้ยที่จะมี...คนจดจำความเป็นคุณได้ทุกอย่าง
เคยมั้ยที่จะมี...คนยอมเสียสิ่งที่รักเพื่อคุณ
เคยมั้ยที่จะมี...คนเห็นคุณสำคัญกว่าเพื่อน
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณอยู่ด้วยเฉย ๆ แล้วมีความสุข
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่มั่นใจในคำว่ารักของคุณ
เคยมั้ยที่จะมี...ไม่อายเมื่อเดินข้างคุณ แม้คุณหน้าตาไม่ดีก็ตาม
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่ทนคุณได้ไม่ว่า คุณจะด่า จะว่า เค้ ายังไง
เคยมั้ยที่จะมี...คนรับได้ในสิ่งที่คุณเป็นไม่ว่าจะมีคนมาว่าร้ายคุณยังไง
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่เห็นความผิดของคุณเป็นเรื่องน่ารัก
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณคิดถึงเค้า แม้ว่าคุณไม่เหงาก็ตาม
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณคิดถึงคนแรก เมื่อคุณทุกข์ใจ
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณรู้ว่า เค้าช่วยให้คุณสบายใจได้
เคยมั้ยที่จะมี...คนแคร์คุณมากมาย ไม่ว่าคุณจะทำร้ายเค้า ยังไง
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณ
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่ยังรักคุณแม้คุณไม่เห็นความสำคัญของเค้าเลย

ถ้าคุณเคยมีเค้าคนนี้อยู่จริง คุณควรถนอมเค้าไว้ให้ดี
ถ้าคุณสูญเสียเค้าไปคุณเองที่จะเป็นคนเสียใจ ความหมายของหัวใจ เราอาจจะหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่า เพียงแค่มีบางสิ่ง ชีวิตก็มีความหมายแล้ว

Sunday, September 24, 2006

ดีหรือไม่ดี.....ยากที่จะบอก !!!!!

นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง พระราชาองค์นี้ มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่ แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า "ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก " และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า " ดี หรือไม่ดียากที่จะบอก " พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก

วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าพระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระราชา เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ

พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า "ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก " เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์ พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา แต่พระราชากลับประหลาดใจ เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้ ทำไมงั้นหรือ เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปในป่า และในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่

อีกครั้งกับคำที่ว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือ ไม่ดี บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้

สิ่งดีๆอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจ ในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ........................................................... ถ้าพวกเราเข้าใจได้อย่างนี้ พวกเราจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย

Friday, September 08, 2006

บริบทชายหญิงในทางศาสนา

Photobucket - Video and Image Hosting

ผู้ชาย

การเป็นผู้ชายนั้นลำบากนัก มีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากมาย อย่างน้อยๆ ก็ 4 ประการต่อไปนี้

1. ชายโสด ต้องรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อความผิดบาปทั้งหลายเมื่อบรรลุถึงวัยแห่งศาสนภาวะได้กำหนดไว้ ในขณะที่หญิงสาวโสด ผู้ที่ต้องรับภาระในความผิดบาปทั้งหลายทั้งปวงก็คือพ่อ

2. ชายที่แต่งงานแล้ว นอกจากต้องรับผิดชอบต่อความผิดบาปของตนเอง ก็ยังต้องรับผิดชอบต่อภรรยา ต่อลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน ต่อลูกชายในวัยก่อนบรรลุศาสนาภาวะ

3. ลูกชายต้องรับผิดชอบต่อแม่ แต่ถ้าไม่รับผิดชอบก็ถือเป็นความผิดบาปของเขา โดยเฉพาะลูกชายคนโต ในขณะที่ผู้หญิงไม่ต้อง ผู้หญิงเพียงแค่ต้องภักดีต่อสามี การทำดีต่างๆ ของภรรยาผลบุญที่ได้มา ก็จะเป็นเฉพาะสำหรับตัวเธอ แต่หากกระทำในสิ่งที่เป็นความผิดบาปใด ๆ สามีของเธอก็ต้องรับผิดชอบด้วย

4. สามีจะต้องให้นัฟเกาะห์ต่อภรรยา สิ่งนี้ถือเป็นวาญิบที่มิอาจจะละเลยได้ แต่ภรรยาก็มีสิทธิที่จะช่วยได้ แต่ก็เป็นที่ต้องห้ามสำหรับสามีที่จะเข้าไปก้าวล่วงต่อทรัพย์สินใดๆ ของภรรยา (เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตเท่านั้น)

หาใช่แค่นี้ ยังมีอีกเยอะที่เป็นภาระของผู้ชาย โดยเฉพาะชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ถ้าเปรียบเทียบภาระที่ต้องรับผิดชอบระหว่างชายหญิง ต่อความผิดบาป ก็เปรียบได้เสมือนขุนเขา กับมดดำตัวเล็กๆ เท่านั้น

คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ผู้หญิงจากทั่วทั้งโลกมักจะมีอายุยืนกว่าผู้ชาย ผู้ชายมักจะเสียชีวิตก่อนผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะมิอาจจะแบกรับต่อความผิดบาปที่พอกพูนขึ้นทุกวันก็ได้

แต่ผู้ชายก็มีคุณลักษณะพิเศษของความเป็นผู้ชาย ที่อัลเลาะห์ประทานมา ซึ่งคุณผู้ชายก็น่าจะรู้ดี แต่หากไม่รู้ ก็ไปเป็นผู้หญิงดีกว่า...

ผู้หญิง

1. ผู้หญิงต้องรับผิดชอบในเอารัตของตนเองมากกว่าผู้ชาย
2. หญิงผู้เป็นภรรยาต้องขออนุญาตจากสามีก่อนออกจากบ้าน
3. สิทธิในการเป็นพยานมีน้อยกว่าผู้ชาย
4. สิทธิในมรดกน้อยกว่าผู้ชาย
5. ต้องรับภาระในการตั้งท้อง การคลอด ซึ่งมีทั้งความเจ็บปวด และความยากลำบากอย่างยิ่ง
6. ความภักดี (ตออัต) ต่อสามี ถือเป็นวายิบ
7. การหย่าร้าง ถือเป็นสิทธิเหนือสามี ในขณะที่ภรรยาไม่มีสิทธิ (มีสิทธิภายใต้เงื่อนไข)
8. ผู้หญิงไม่สามารถทำอีบาดะห์ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งเพราะความมีประจำเดือน การคลอด ซึ่งข้อจำกัดนี้ ไม่มีในผู้ชาย

แต่คุณผู้หญิง เคยมองในด้านกลับกันไหม ?

สิ่งที่มีค่า สิ่งที่ควรทนุถนอม สิ่งที่มนุษย์หวงแหน มักจะถูกดูแลและเก็บรักษาอย่างดี เครื่องเพชร พลอย ทอง และอัญมณี อันล้ำค่าต่างๆ ไม่มีใครในโลกนี้ ตั้งไว้อย่างสเปะสปะ หรือทิ้งไว้ริมทางเหมือนขยะ นี้ก็เปรียบได้ดังเช่นผู้หญิงที่ดี ที่ย่อมไม่มีผู้ชายที่ไหน ปล่อยทิ้งไว้ข้างถนนรนแคม

ภรรยาต้องตออัตต่อสามี แต่ผู้ชายก็ต้องต่ออัตต่อแม่ เป็นความตออัตที่มากกว่าผู้เป็นพ่อถึง 3 เท่า แล้วคนที่เป็นแม่ไม่ไช่ผู้หญิงดอกหรือ

ผู้หญิงรับมรดก น้อยกว่าผู้ชาย แต่ทรัพย์สินใดๆ ในความครอบครองของผู้หญิง ก็จะเป็นสิทธิเฉพาะสำหรับตัวของเธอ ที่ผู้เป็นสามีไม่มีสิทธิจะไปก้าวล่วงได้ เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต ในขณะที่ชายผู้เป็นสามี จะต้องหาทรัพย์สิน หรือใช้ทรัพย์สินของตนเองเพื่อดูแลภรรยา และลูก

ผู้หญิงต้องรับภาระที่หนักมากในการอุ้มท้องและการคลอดลูก แต่ทุกวินาทีแห่งการดูแลลูก และการคลอด เธอจะได้รับการดุอาอจากบรรดามาลาอีกะห์ และมวลมัคลูกของอัลเลาะห์ แต่ถ้าหากต้องเสียชีวิตจากการคลอด ความสูญเสียของเธอจะมีค่าเท่ากับผู้ที่เป็นซาฮีด ในขณะที่ความผิดบาปทั้งหลายของเธอก็จะได้รับการอภัยโทษจากอัลเลาะห์

ในวันอาคีรัต ผู้ชายคนหนึ่ง จะต้องรับผิดชอบผู้หญิงถึง 4 คน นั้นคือ ภรรยา แม่ ลูกสาว และพี่น้องที่เป็นผู้หญิง

ในขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ตัวเธอจะอยู่ภายใต้การรับผิดขอบ ของผู้ชาย 4 คน นั้นคือ สามี พ่อ ลูกชาย และพี่น้องที่เป็นผู้ชาย

ผู้หญิงสามารถเข้าสู่สวงสวรรค์ ในทุกช่องทางที่เธอพอใจ ภายใต้เงื่อนไขแค่ 4 ประการนั้นคือ

1. เธอต้องละหมาดให้ครบทั้ง 5 วักตู
2. ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
3. ภักดีต่อสามี
4. รักษาเกียรติยศของตนเอง

Saturday, September 02, 2006

เสี้ยวรำพึง (1)

Photobucket - Video and Image Hosting


Did you know that those who appear to be very strong in heart, are real weak and most susceptible?
คุณรู้ไหมว่าคนที่มองภายนอกดูจิตใจเข้มแข็งมากๆ แท้จริงแล้วเขานั้นแสนจะอ่อนแอและอ่อนไหว เป็นที่สุด


Did you know that those who spend their time protecting others are the ones that really need someone to protect them?
คุณรู้ไหมว่าคนที่ใช้เวลาของเขาปกป้องผู้อื่นนั้น เป็นคนที่ต้องการใครสักคนที่จะคอยปกป้องเขาเสียเหลือเกิน


Did you know that the three most difficult things to say are: I love you, Sorry and help me

คุณรู้ไหมว่าคำที่พูดยากมากที่สุด 3 คำ คือ ฉันรักเธอ ขอโทษ และ ช่วยฉันด้วย



Did you know that those who dress in red are more confident in themselves?
คุณรู้ไหมว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดสีแดง เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากกว่าคนอื่น


Did you know that those who dress in yellow are those that enjoy their beauty?
คุณรู้ไหมว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองเป็นคนที่เพลิดเพลินกับความสวยความงามของเขา


Did you know that those who dress in black, are those who want to be unnoticed and need your help and understanding?


คุณรู้ไหมว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ เป็นคนที่ไม่ต้องการให้ใครคอยสังเกต และต้องการความ ช่วยเหลือและความเข้าใจจากคุณ

Did you know that when you help someone, the help is returned in two folds?
คุณรู้ไหมว่าเมื่อคุณช่วยใครสักคน ความช่วยเหลือนั้นจะคืนกลับมาเป็น 2 เท่า



Did you know that it's easier to say what you feel in writing than saying it to someone in the face? But did you know that it has more value when you say it to their face?
คุณรู้ไหมว่า ช่างเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกกล่าวความรู้สึกด้วยการเขียนแทนที่จะบอกด้วยวาจากับใคร สักคนต่อหน้า แต่คุณรู้ไหมว่า มันจะมีค่ายิ่งกว่าเมื่อคุณได้บอกความรู้สึกนั้นด้วยวาจาต่อหน้าเขา


Did you know that if you ask for something in faith, your wishes are granted?
คุณรู้หรือไม่ว่า ถ้าคุณร้องขอบางสิ่งด้วยความศรัทธา คุณจะได้รับในสิ่งที่ปรารถนา


Did you know that you can make your dreams come true, like falling in love, becoming rich, staying healthy, if you ask for it by faith, and if you really knew, you'd be surprised by what you could do.
คุณรู้หรือไม่ว่าคุณสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้ เช่น การตกหลุมรัก กลายเป็นคนร่ำรวย อยู่อย่างมี สุขภาพแข็งแรง ถ้าคุณร้องขอในสิ่งนั้นด้วยความศรัทธา และถ้าคุณรู้อยู่แก่ใจ คุณจะรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้


But don't believe everything I tell you, until you try it for yourself, if you know someone that is in need of something that I mentioned, and you know that you can help, you'll see that it will be returned in two-fold.
แต่อย่าเชื่อในทุกอย่างที่ฉันบอก จนกว่าคุณจะได้ลองปฏิบัติดูด้วยตัวคุณเอง ถ้าคุณรู้จักใครสักคนที่ต้องการบ้างสิ่งอย่างมากดังที่ฉันได้บอกไปแล้วนั้น และคุณรู้ว่าคุณสามารถช่วยเขาได้ คุณจะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นจะตอบแทนกลับคืนมาอย่างทวีคูณ

Wednesday, August 30, 2006

เลือด

เลือดแต่ละกรุ๊ปกับการเลือกทานอาหาร..
กรุ๊ป A.. คนที่เลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม.เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A ควรหันมารับประทานกันเพิ่มขึ้นก็คือ พวกผักใบ เขียว ใบเหลือง
รวมทั้งธัญพืช และถั่วต่างๆ

กรุ๊ป B..
พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือ กำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ การดื่มนม และรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้ จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A นอกจากนี้ อาหารพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ ต่อร่างกายทั้งนั้นแต่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ เนื้อไก่

กรุ๊ป O..
ถือว่าเป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่า ได้ ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี เมื่อกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เป็ด ไก่ และปลา แล้วก็ออกกำลังกายหนักๆ เช่นเต้าเอโรบิค. .คนที่มีเลือดกรุ๊ป O มีแนวโน้มที่ จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย

สาระสุขภาพ (3)

อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง

คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ

กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

กระเทียม.. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

นมและนมถั่วเหลือง.. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย

น้ำตาลหรืออาหารหวาน... ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชา...ที่แก่เกินไป ช าทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ.. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร



ไอศกรีม อาหารขยะ
ไอศกรีมบางยี่ห้อ บางผู้ผลิต ใช้ไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์ แทน และได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ จากสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
1. ไดอิธิลกลูคอล ( diethyl glucol )..สารเคมีราคาถูก ใช้ตีไขมัน ให้กระจาย แทนการใช้ ่ไข่ เป็นสารกันเยือกแข็ง ที่ใช้กันน้ำแข็ง ( anti freeze) และผสมในน้ำยากัดสี
2. อัลดีไฮด์ - ซี71 ( aldehyde-C71 ).. ใช้สร้างกลิ่น เชอร์รี่ ให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน พลาสติกและยาง
3. ไปเปอร์โอรัล ( piperoral )..ใช้แทนวานิลลา เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเหาและหมัด
4. อิธิลอะซีเตท (ethyl acetate ).. ใช้สร้างกลิ่นรสสับปะรด ใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้ ทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจผิดปกติ
5. บิวธีรัลดีไฮด์ ( butyraldehyde) ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผล ไม้เปลือกแข็ง เป็นสารประกอบสำคัญในกาวยาง
6. แอนนิล อะซีเตท( anyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นรสกล้วยหอม เป็นสารทำลายใช้ล้างไขมัน
7. เบนซิล อะซีเตท(benzyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่ เป็นสารละลายไนเตรทเวลาเกิดความอยากอยากให้คิดถึงสารเคมีเหล่านี้ ทั้งสารกันเยือกแข็ง ตัวทำละลายน้ำมัน น้ำยาลอกสี ยาฆ่าเหา ยาฆ่าหมัด บางยี่ห้อมีตัวนั้น บ้างมี ตัวนี้ ไมใช ่ว่าทุกยี่ห้อ จะมีหมด ทุกตัว นะครับ นอกจากนี้สารที่ใช้ทำความหวานก็คือ แซคคาริน หรือน้ำตาลเทียม ทั้งมีสารเติมสีเติมกลิ่น ซึ่งเหล่านี้ล้วนพิสูจน์แล้วว่า มีส่วนสนับสนุนทำให้เกิดมะเร็งได้ ไอศกรีม อาหารขยะ เป็นสาเหตุโรคอาหารเป็นพิษ ถึง 98 เปอร์เซ็นต์
อย่าลืมนะครับ จะซื้ออะไรดูสักนิดเช่น

น้ำมันพืช.. มีสาร กันหืน BTH หรือเปล่า ซีอิ้ว น้ำปลา แมกก..ี้ มี สารกัน บูด (โซเดียมเบนโซเอท) หรือผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมท) หรือไม่

ขนมปัง.. ขาวมีสารกันเสีย สารกันบูดไหม
หรืออาหารใดๆ.. ก็แล้วแต่ แวะอ่านดูฉลากสักนิด ว่า มีผงชูรส มีวัตถุกันเสีย เจือสีสังเคราะห์ แต่งกลิ่น แต่งรส หรือเปล่า แม้ อย.อนุญาตก็ตามเถอะ

ที่มา : http://www.rapidreply.net/cgi-bin/varpro/vartrack.cgi?t=mysuccess:23

สาระสุขภาพ (1)

ภัยร้ายมันฝรั่งทอด

มันฝรั่งทอด คุกกี้กรอบๆ หรือขนมสำเร็จรูปในถุงสวยๆ ทั้งหลาย ไม่ได้ทำให้อ้วนหากออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน แต่อาหารเหล่านี้เต็มไปด้วยไขมันชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ให้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งมากขึ้น...

ที่มา : Are You Getting Enough Fat?"
By Colleen Pierre, R.D. Reader's Digest, 2001


ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้ นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้ ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...

ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001


ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง

คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50% แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก(bone mass) ของคุณ...

ที่มา : Rethinking Drinking" Reader's Digest, December 2001


นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด

นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...

ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
(ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/th/index_th.php )


ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ
ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ


ถั่วงอกดิบมีโทษครับ
ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ


วิธีป้องกันตะคริว
ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ
จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...

ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News,
August 22, 2001


อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน

ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม จะใช้อินซูลินได้น้อยลง คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...

ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001


ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง

ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...

ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001


เนยแท้ vs เนยเทียม

เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...

สาระสุขภาพ (2)

วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ

เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย" ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ" เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
๑.ต้องไม่อยากแก่... ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้ และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี
๓.ลดความเครียด.. เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ
๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ.. ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี
๕.กินอาหารต้านชรา.. พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
๖.นอนหลับเพียงพอ.. เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด
๗.ความรัก.. ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน

ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจของราชพฤกษ์โพล คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน ในพื้นที่17 เขตของกรุงเทพมหานคร พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้ 10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้
1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์ รสหัวหอมทรงเครื่อง
6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ


โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ
ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย ในการกำจัดขับถ่ายออกมา จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ

อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน 1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่

ผลกระทบของการอดนอน
งานวิจัยเชิงทดลอง โดยอาสาสมัครหนุ่มสาว ทดลองนอนหลับวันละ 4 ชม. เป็นเวลา 6 คืน เมื่อเจาะตัวอย่างเลือด พบว่า มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและควบคุมยาก ซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน นักวิจัยยังพบว่าการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วน โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพ และควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย
การอดนอนทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งน้อยลง ร่ายกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาท ว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด ตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม .
การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาว และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่งฮอร์โมนแปรปรวน เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย


6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
1.มะเขือต่างๆ..
2.หอมหัวใหญ่..
3.กระเทียม
4.ถั่วเหลือง..
5. แอปเปิล..
6.โยเกิร์ต
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.

Sunday, August 27, 2006

นอนท่าไหน ?

นอนหงาย:
1. กางแขนกางขา: ช่างรักอิสระเสรี อะไรขนาดนั้น ท่านอนบ่งบอก ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างแรง รักความสะดวกสบาย รักสวยรักงาม จับจ่ายใช้สอย สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็หาเงินเก่งพอๆ กัน ที่แย่หน่อยคือ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และสนุกกับ การตั้งสโมสร ซะด้วยซิ...

2. นอนเอาขาไขว้กันแบบไขว่ห้าง:
ท่านว่า คนที่นอนท่านี้ ไม่ค่อยกล้ายอมรับ ความเปลี่ยนแปลงใดได้ง่ายๆ แถมยังชอบ หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องของตนเอง รักที่จะอยู่คนเดียว ข้อดีก็คือ ช่างมีน้ำอดน้ำทน กับเรื่องรอบๆ ตัวได้ดีจริงๆ

3. นอนเอามือไพล่ประสานกัน รองศรีษะ: เขาว่า คนนอนท่านี้เป็นนิจ เป็นคนฉลาด ปราดเปรื่อง ปัญญาเฉียบแหลม ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ บางครั้ง ก็มีความคิด แปลก แหวกแนว ที่ชาวบ้านตามไม่ทัน เป็นคนน่ารัก ที่ให้ความสนใจครอบครัว อยู่เสมอ... แต่มันสำคัญที่ว่า... ช่างเป็นคนที่ รักคนยาก ซะเหลือเกิน... ช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า?

นอนคว่ำ:
4. นอนคว่ำ: ถ้านอนท่านี้ ได้ทั้งคืน ก็ให้รีบสำรวจได้แล้วว่า เป็นคน ใจคอคับแคบ หรือเปล่า มักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ และต้องการให้ ใครต่อใคร ทำตามความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ แถมยังเป็น คนสับเพร่า จับจดเสียด้วยนะ........รีบเปลี่ยนท่านอนซะเถอะ

นอนตะแคง:
5. นอนตะแคง: ท่านี้ เป็นท่านอนของคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ด้วยความอุตสาหะ มานะ พยายาม อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านว่า คนที่ชอบ นอนตะแคงขวา เหยียดแขนขวา ไปเหนือศรีษะละก็... อำนาจ วาสนา ดีนักแล...?

6. นอนตะแคงงอขาขึ้นข้างหนึ่ง: ไม่ดีละมั้ง... ท่านว่า ขี้ระแวง สงสัยอยู่ไม่สร่าง โดยไร้เหตุผล จู้จี้ขี้บ่นไม่รู้เวลา นอกจากจะขาด ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว อาจจะพาลเป็น โรคประสาทได้ง่ายๆ... ทั้งตัวเอง และคนข้างเคียงน่ะแหล่ะ!

7. นอนงอตัว: นี่ก็อีกคน... น่าจะเป็น คนขี้อิจฉาตาร้อน กลัวใครเขา จะได้ดีไปกว่าตนซะหมด พูดง่ายๆ ก็คือ ค่อนข้างจะเป็น คนเห็นแก่ตัวอย่างแรง แถมยัง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบพยาบาทรุนแรงด้วยนะ... ระวังหน่อย!

8. นอนทับแขนตัวเอง: คนนี้ตรงกันข้ามกับ คนนอนงอตัว ท่าที่ 7 เลย... ช่างสุภาพอ่อนโยน จริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อะไรจะปานนั้น... แต่ดูเหมือน จะมีกรรมมาบัง เพราะเขาจะเป็นคนที่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และขาดความอบอุ่นในชีวิต.. น่าสงสารนะ

ท่าพิสดาร:
9. นอนคุดคู้: เป็นคนขี้เหงาอย่างแรง ซึมเศร้าง่าย เพราะไปฝังใจกับเรื่องเศร้าๆ เรืองผิดหวัง หรือสูญเสียในอดีต เป็นคนขี้ระแวง และมีความลังเล ไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกว่า ขาดความรักความอบอุ่น.. เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม

ท่าพิสดาร:
10. นอนคลุมโปง: เชื่อไหมว่า ภายนอก เขาคนนี้อาจจะดูผึ่งผาย น่าเชื่อถือมาก แต่ลึกลงไปแล้ว เขาขี้อาย จิตใจอ่อนแอ... เขาชอบมีความลับ และเก็บความลับเก่งด้วยนะ มีอะไร ก็จะแอบเก็บไว้ในใจ แล้วเก็บเอาไปกังวล วุ่นวายใจ วนเวียนอยู่กับปัญหานั้น คนเดียว ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที... ไม่รู้ว่า นอนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยรึเปล่า?

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:
11. นอนเอามือจับอวัยวะเพศของตัวเอง: คนนี้มาแปลก... ท่านว่า จะชอบหมกมุ่น อยู่ใน กามารมณ์ มีความต้องการทางเพศสูง ใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว รักใครหลงใครละก็ เป็นได้หัวปักหัวปำ แบบกู่ไม่กลับ ทั้งๆ ที่เป็น คนมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด อยู่หรอกนะ

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:
12. นอนละเมอ: จะซีเรียสอะไรกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เขาเป็นคนคิดมาก ยังฝังจิตฝังใจกับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยอมลีม... สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง และจะคล้อยตามคนอื่นอยู่เสมอ... ถ้าเขาละเมอบ่อยมาก และรุนแรงขึ้นละก็ น่าจะเตือน ให้เขาปรึกษาแพทย์ หรือผู้รู้ซะได้แล้ว

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:
13. นอนกัดฟัน: นี่ก็คนเก็บกด... โบราณว่า เป็นคนอาภัพ ซึ่งเขาอาจจะ คิดไปเอง ก็เลยอมทุกข์ เก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ หน้าฉากอาจจะดูรื่นเริง แต่แอบไปนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน... ปล่อยวางซะบ้างเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:
14. นอนอ้าปาก: ชวนเขา ไปตรวจสุขภาพร่างกายบ้างเถอะ เพราะ โบราณท่านว่า คนนอนท่านี้ มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน ให้สุขภาพไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะพาลอายุไม่ยืนซะเปล่าๆ

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:
15. นอนลืมตา ถ้าไม่ได้เป็นผลมาจาก ทำตา 2 ชั้น ละก็ ท่านให้ระวัง จะถูกใส่ร้าย ใส่ความ หรืออาจจะ เกิดอุบัติเหตุได้ เตือนๆ ให้ระมัดระวัง รอบคอบ อย่าประมาท ก็แล้วกันนะ