Tuesday, May 09, 2006

โรแมนติก



….and you know honey, my love for you is growing and growing in every single day….

ข้อความจากอีเมลสองบรรทัดข้างต้น ทำให้ฉันรู้สึกอิ่มเอิบใจสุดที่จะพรรณนาออกมาได้…

ชีวิตแต่งงานของฉันแม้ว่าเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้เพียงแค่ 3 เดือน. สำหรับบางคู่อาจจะเห็นว่ายังไม่ได้เข้าใจอะไรในกันและกันเลย แต่สำหรับฉัน แม้ว่าเวลาเพิ่งจะผ่านพ้นไปเพียงแค่นี้ และการแต่งงานที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักมาก่อนเลย แต่เราเนียตด้วยลิลลาห์ ตะอาลา เราเชื่อมั่นว่าชีวิตคู่ของเราจะไม่สั่นคลอนใดๆ

เพื่อนๆ ของเราบางคนได้แสดงความกังขากับการแต่งงานของเรา บางคนก็พูดว่าคงจะมีสิ่งใด ๆ ผิดปกติแน่ เพราะเป็นการแต่งงานที่เกิดขึ้นอย่างทันด่วน โดยที่เพื่อนๆ ของเราทั้งสองฝ่ายไม่ทราบมาก่อนเลย พวกเขาคิดว่าคนสองคนที่ไม่ได้ผูกสัมพันธ์กันมาก่อนเลย แล้วต้องมาแต่งงานจะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่า….

ข้อกังขาของพวกเขาก็เป็นไปอย่างหลากหลาย และล้วนคิดไปในทางที่ไม่ดีทั้งนั้น บางคนก็มองถึงขั้นว่าฉันคงไปพลาดท่าเขาแล้วมั้ง จึงต้องมาแต่งงานอย่างรีบด่วนอย่างนี้

เราสองคนรู้จักกันมาแค่ 2 อาทิตย์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดความรู้สึกถึง "ความรัก" กับช่วงเวลาเพียงแค่นี้ แม้ว่าจะมีสำนวนฝรั่ง ที่กล่าวว่า "Love at the first sight" แต่ จะมีใครเล่าที่เชื่อว่า คำว่า "Love" ของเราสองคน ช่างสวยงาม และพริ้งเพราสกาวตายิ่งนัก เกินกว่าที่ฉันจะสรรหาถ้อยคำใด ๆ มาบอกกล่าวถึงความรู้สึกที่มีนี้ ใครไม่เชื่อก็พิสูจน์เอง

ความเป็น "แฟน" ของเราได้เริ่มต้นหลังจากที่ได้มีการอีญาบ กอบูล เสร็จสิ้นลงแล้ว อัลฮัมดูลิลลาห์ ความรู้สึกของเราที่มีต่อกันและกัน ทั้งความรู้สึกรัก หวงหา อาทร มีอย่างสุดล้นในทุกห้วงอณูของหัวใจ

ฉันรู้สึกประหลาดใจ ทำไม เพื่อนๆ ของฉันหลายคนที่นิยมใช้ชีวิตเป็นคู่ ไปไหนมาไหนด้วยกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นิกาห์ พฤติกรรมหลายอย่างที่เป็นไปอย่างฮารอม แต่เขาก็ยังทำได้ ไม่ละอายใจหรือขัดเขินเลยแม้ซักนิด ฉันคิดมาโดยตลอดว่าทำไม พวกเขาถึงไม่นิกาห์ เพื่อว่าทุกสิ่งที่ฮารอม จะได้เป็นฮาลาลเสียที ?

พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่า การมีความรัก ความเสนหา และความสุขอย่างเต็มเปี่ยมนั้น จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็หลังจากที่ทุกอย่างได้เซาะห์ด้วยสายใยแห่งการนิกาห์ ที่ผูกมัดทางใจระหว่างเราสองคนแล้วเท่านั้น การเป็นแฟนกันที่ฮอตกันนักในหมู่เพื่อนฝูงเรา ใครจะไปห้ามกันเล่า หากว่าทุกอย่างได้ฮาลาลเสียแล้ว การเป็นแฟนกัน ที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีคุณค่าในกันและกัน ก็หลังจากที่ได้อีญาบและกอบูลแล้วเท่านั้น

พวกเขาคงไม่รู้ แต่บัดนี้ได้ประจักษ์แก่ชีวิตฉันแล้ว หลังจากการอีญาบและกอบูลของฉันและเขาสิ้นสุดลง และนั้นคือจุดเริ่มต้นการเป็นแฟนของเราสองคน

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง มีเหตุจำเป็นที่เราต้องห่างเหินกัน ซึ่งก็เพียงแค่คืนเดียว แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่าต้องจากลาไปเป็นเดือนเลยทีเดียว เราโทรศัพท์คุยกัน และส่ง SMS ถึงกัน ตลอดเวลา เราสุดที่จะทนใจไหวกับการที่ต้องห่างเหินกันแม้เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ

คงไม่มีชีวิตแต่งงานของใครหรอกที่ไม่มีเรื่องขัดแย้งกันเลย ชีวิตแต่งงานของฉันก็เหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่เรามีเรื่องไม่ลงรอยกัน เราก็จะหันเข้าหาหลักการศาสนา เราศึกษารูปแบบการดำเนินชีวิตของท่านศาสดา แล้วทุกอย่างก็จะจบสิ้นลงด้วยดี ชีวิตเราก็จะหวานชื่นเช่นปกติ ไม่มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจใด ๆ ทั้งสิ้น. แต่สำหรับคู่ที่ยังไม่นิกาห์ หากมีเรื่องระหองระแหงใจใด ๆ บทสรุปสุดท้ายอาจจะต้องหมายถึงการเลิกลากัน ทั้ง ๆ ที่ทั้งเขาและเธอก็ได้มีพฤติกรรมเย้ยหยันต่อบทบัญญัติทางศาสนามานักต่อนักแล้ว พวกเขาได้ทำความผิดบาปมหันต์ พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ อัลเลาะห์ทรงโกรธกริ้ว

"และเจ้าจงอย่าเข้าใกล้การซีนา แท้จริงแล้วการซีนานั้นเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียวจ และเป็นทางแห่งความชั่วช้า" (อัลอิสเราะอ : 32)

การนิกาห์ ถือเป็นพันธะสัญญาในกันและกันที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ที่หลอมรวมคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวโดยอัลเลาะห์ และหากมีเรื่องขัดแย้งใด ๆ เราก็จะไม่ใช้อารมณ์เข้ามาตัดสิน แต่เราจะเข้าหาอัลเลาะห์ เราดูหลักการของพระองค์. การที่ต้องเลิกลากันก็คงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายมากสำหรับคู่ที่ยังไม่มีการนิกาห์ แต่สำหรับคนที่นิกาห์กันแล้วเข่นฉัน (และก็คงจะเช่นเดียวกับคู่สามี-ภรรยา ท่านอื่น ๆ ) การนิกาห์ ถือเป็นเกราะกำบัง หรือเป็นกำแพงขวางกั้น ให้เราหลีกห่างจากการกระทำใด ๆ ที่เป็นที่โกรธกริ้วของอัลเลาะห์

เราเชื่อว่า ความรักที่เกิดขึ้นภายใต้การนิกาห์ เป็นความรักที่อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งทางนำจากอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ทรงมีความรักและความเอื้ออาทรต่อเรา และอัลเลาะห์ได้ประทานความรักแก่เราให้มีในกันและกัน อินซาอัลเลาะห์ เราจะร่วมกันโอบอุ้มและดูแลความรักที่มีต่อกันและกันนี้ตลอดไป ความตายเท่านั้นที่จะพรากเราไป และเราก็ยังหวังว่าอาคีรัต ในสวงสวรรค์ของพระองค์เราคงจะได้ร่วมชีวิตกัน ณ ที่นั้นอีก … อามีน

No comments: