Tuesday, June 13, 2006

ฉากเศร้าจากมุสลิมะห์ของเรา

มีหัวใจมนุษย์เพศแม่คนไหนบ้าง ที่ไม่แหลกสลาย เมื่อถูกชายที่ตนเองทุ่มเทให้อย่างหมดจิตหมดใจ ทั้งเนื้อทั้งตัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา ก็คือสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่า แท้ที่จริงแล้วเขาก็คือ “สัตว์ร้าย” แต่มาสิงอยู่ในร่างของมนุษย์

ถ้อยคำที่หวานฉ่ำ คำพูดที่หยาดเยิ้มของเขา จริงๆ แล้วนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่เขาใช้เพื่อนำมาเล่นกับผู้หญิง ซึ่งอ่อนต่อสังคมและเขลาต่อโลกอย่างเธอ ประกอบกับตั้งแต่เกิดมา เธอยังไม่เคยได้รับการใส่ใจจากพ่อแม่ของเธอเลย

เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว แต่โชคร้าย เมื่ออายุได้ 3 ขวบ แม่ก็เสียชีวิตเพราะเป็นโรคเนื้องอกในสมอง เธอเติบโตมากับบิดา ซึ่งหารายได้เลี้ยงชีพด้วยการเป็นลูกจ้างในโรงงาน ที่มีรายได้แค่น้อยนิด ลำพังแค่พ่อคนเดียวก็แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ชีวิตของเธอจึงเติบโตมากับความอดๆ อยาก ๆ เธอพยายามประคับประคองการศึกษาของเธอ แต่ก็ทำได้แค่ ป. 6 เธอก็ต้องยุติการศึกษาเสียแล้ว...

ทั้งหมดข้างต้น เป็นเพียงแค่ฉากเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเศร้า หญิงสาวคนหนึ่งที่ปัจจุบันมีอายุ 19 ปีซึ่งกว่าที่เธอจะพาชีวิตมาถึงวันนี้ เธอต้องอยู่กับความเศร้า และความรวดร้าวใจอย่างแสนสาหัส

เธอบอกว่า “หนูรู้สึกเหมือนเป็นเทพธิดา เมื่อมีชายคนหนึ่งเข้ามา เขาพูดกับหนูดีมาก จนหนูปักใจเชื่อเขา ในตอนนั้นหนูรู้สึกว่าเขาเป็นเสมือนเทพบุรุษสำหรับชีวิตหนู.... “

“เขาบอกว่ารักหนู และจะแต่งงานด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจึงขอหมั้นไว้ก่อน” เธอบอกด้วยน้ำตานองหน้า และยังเล่าต่อว่า “หนูไม่รู้เป็นอะไรในตอนนั้น ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หนูก็จะเชื่อไปหมด เขาให้หนูทำอะไร หนูจะไม่ขัดใจเขาเลย เขาชวนหนูไปไหน หนูจะไปด้วยทุกที่ จนในที่สุดหนูก็เป็นของเขา...” น้ำตาเธอไหลอาบสองแก้ม เป็นทางยาว และตกกระทบพื้นเป็นระยะๆ บ่งบอกให้เรารู้ว่า ความรวดร้าวของเธอนั้นแผ่ซ่านและยั้งลึกลงไปจนสุดที่เราจะยั้งถึงได้.

เธอเงียบเสียงลง พร้อมกับหยิบผ้าขนหนู ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นผ้าที่ใช้มามากหรือใช้มานานแล้ว เธอเงยหน้าและมองมายังผม จนผมต้องหลบไปทางอื่นเสีย เพราะไม่อยากให้เธอเห็นน้ำตาของผมที่ปริ่มๆ อยู่รอบขอบตา ทำท่าจะไหลออกมาให้ได้

เราเงียบชั่วขณะหนึ่ง และแล้วเธอก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นเสีย “หลังจากนั้นไม่นานหนูก็ท้อง พอเขารู้ เขาก็หนีจากหนูไปเลย” ตาเธอเริ่มแดงอีกครั้งหนึ่ง คำพูดของเธอเริ่มติดๆ ขัด ๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร และแล้วน้ำตาเธอก็ไหลพรากเป็นทางยาวอีกครั้งหนึ่ง “และหนูก็ติดเชื้อเอดส์”

และแล้วทั้งผมและเธอต่างก็อยู่ในบรรยากาศที่มัวซัว น้ำตาที่ต่างก็รินไหลออกมาสื่อถึงความรู้สึกที่มีอยู่ในใจมากกว่าคำพูดหลายเท่านัก

แม้ผมไม่คิดที่จะถามอะไรเธออีกแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอมีอะไรอีกมากมายที่อยากจะบอก อยากจะระบายถึงสิ่งที่มีอยู่ในใจ
เธอย้อนอดีตจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาคนนั้น “ชีวิตหนูว้าเหว่มาก หนูเหมือนคนตัวคนเดียว ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว หน้าตาของแม่เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มีพ่ออยู่หนึ่งคนก็ไม่เคยใส่ใจหนู บางวันที่หนูอดไม่มีข้าวกิน พ่อก็ไม่เคยถามหนูซักคำว่ากินอะไรหรือยัง ถ้าหนูตายอย่างหมาข้างถนน พ่อก็คงไม่ใส่ใจกับศพของหนูหรอก” เธอหยุดเช็ดน้ำตา และเล่าต่อว่า “เมื่อเขา (ผู้ชายคนนั้น) มาหาหนู และพูดดีกับหนู หนูก็ปักใจและมั่นใจในตัวเขา จนถึงขั้นเลยเถิด หลังจากนั้นหนูก็อยู่กับเขาตลอด”

เธอเล่าต่อว่า “ในช่วงที่หนูอยู่กับเขา ทำให้หนูได้เห็นธาตุแท้ในตัวเขา เขาติดยาเสพติด ไม่ว่าหนูจะอ้อนวอน และร้องขออย่างไร เขาก็ไม่ยอมเลิก ไม่ไช่ไม่ยอมเลิกอย่างเดียว เขายังทำต่อหน้าหนูซะด้วย.... และพอหนูท้องเขาก็หนีหายไปเลย”

แม้ต้องระทมขมขื่นเพียงใด แต่เธอก็คิดอยู่เสมอว่า ชีวิตต้องดำรงอยู่ต่อไป เธอกลับบ้านไปหาพ่อ แต่พ่อเธอกลับทำเป็นไม่ใส่ใจยิ่งกว่าเดิมอีก และด้วยท่าทีที่เย็นชาที่ได้รับจากพ่อ เธอจึงตัดสินใจออกจากบ้านอีกครั้งหนึ่ง เธอจึงบากหน้าไปหาน้าชาย เพื่อขออาศัยอยู่ด้วย น้าชายใจดีและให้เธออยู่ด้วย แม้น้าชายคนนี้จะมีลูกแล้ว 5 คน แต่น้าเธอก็ให้อยู่โดยไม่แสดงความรังเกียจใด ๆ และเมื่อรู้ว่าเธอท้อง น้าเธอก็ให้ความใส่ใจมากขึ้น.

ได้อยู่บ้านน้าทุกอย่างก็ราบเรียบดี ทุกอย่างก็เป็นไปตามอัตภาพ เธอคิดอยู่เสมอว่าเมื่อคลอดลูกออกมาแล้วเธอจะดูแลลูกอย่างดีที่สุด จะเลี้ยงเอง ไม่ให้ใคร เธอเล่าต่อว่า “เมื่อคลอดลูกออกมาแล้ว ใจฉันแทบสลายเมื่อหมอบอกว่าฉันติดเชื้อเอดส์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ฉันไม่เคยมีปัญหาด้าน สุขภาพเลย”

เธอบอกว่า “หนูสำนึกในความผิดบาปของหนู และนี้คงเป็นบทลงโทษจากพระเจ้า กับพฤติกรรมของหนูที่ผ่านมา หนูขอยอมรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวหนู แม้ว่าหนูจะเผชิญกับความเจ็บปวดมาตลอดทั้งชีวิตก็ตามที”

เธอได้ลูกสาว ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันว่า ไม่ติดเชื้อ

เธอต้องเผชิญกับความยุ่งยากในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทุกคนในบ้านน้าของเธอต่างก็แสดงความ รังเกียจ ยิ่งนับวันการแสดงออกถึงความรังเกียจก็ยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะจากภรรยาของน้าชาย.

ลูกของเธอไม่มีใครแตะต้อง ถึงลูกจะร้องให้อย่างไรก็ไม่มีใครมาใส่ใจ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อความรังเกียจของพวกเขามาถึงขีดสุด เขาก็ให้เธอแยกอยู่ต่างหาก ภาชนะต่างๆ ห้ามใช้ปนกันโดยเด็ดขาด เธอไม่รู้จะหันหน้าทางไหน จะกลับไปหาพ่อ พ่อก็รังเกียจเธอไม่ต่างกับคนอื่น.

เราสุดแสนจะรันทดใจ เพราะเธออายุแค่เพียงเท่านี้ แต่ชตากรรมชีวิตของเธอช่างหนักหนาสาหัส ชีวิตเธอไม่มีใครแล้วยังพอว่า แต่ยังต้องเผชิญกับความรังเกียจจากคนรอบข้างเสียอีก แล้วชีวิตเธอจะอยู่ต่อไปอย่างไร ???

วันนี้มีองค์กรสาธารณกุศลช่วยเหลือให้ที่พักพิงกับเธอและลูก เพื่อให้เธอและลูกได้พบกับชีวิตใหม่ ชีวิตที่มีคนรอบข้างพอจะเข้าใจและพร้อมให้กำลังใจ เธอบอกว่า “วันนี้หนูเหมือนคนที่เกิดใหม่ หนูโชคดีที่ได้ “แม่” ที่พร้อมดูแลหนู แม้ว่าจะเพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ “

ภารกิจประจำวันของเธอที่นี้ ตื่นเช้าเธอก็ช่วยอาบน้ำให้กับเด็ก ๆ เธอช่วยเหลือคนไข้รายอื่นๆ และช่วยทำกับกับข้าว ตลอดจนทำความสะอาด ปัดกวาดห้องนอน และภารกิจอื่นเท่าที่ “แม่” จะให้ทำ

เธอกล่าวทิ้งท้ายว่า “ที่ตรงนี้ หนูได้รับพลังใจสำคัญเพื่อการก้าวเดินต่อไปสำหรับชีวิตหนู และชีวิตของลูกหนูที่จะต้องเติบโตอย่างดีที่สุด” เธอกล่าวไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

เราหวังว่าซักวันหนึ่ง เธอจะได้รับความรักที่แท้จริง ความรักที่ไร้ซึ่งมายาจริตแห่งสัตว์โลกทั้งมวล.

No comments: