Friday, November 16, 2012

มูฮัรรัม



มูฮัรรัม  :  ย่างก้าวแห่งความรักต่อมวลมนุษย์


              ปรากฏการณ์สำคัญใด ๆ  ย่อมไร้คุณค่า  หากเราไม่ให้ความหมายหรือสร้างคุณค่าต่อปรากฏการณ์นั้น ๆ


วันที่ 1  มูฮัรรัม   ถือเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งของปฎิทินอิสลาม  หรือปีใหม่อิสลามนั้นเอง  1 มูฮัรรัม    เป็นจุดกำเนิดของอริยธรรมที่มนุษย์ชาติทุกคนจะต้องทำการศึกษา     กับบ่อเกิดแห่งการเปลี่ยนแปลง อริยธรรมมนุษย์ครั้งสำคัญ   มูฮัรรัมเป็นช่วงตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สามารถสร้างบทเรียนคณานับ    โดยเฉพาะต่อการสร้างความเข้าใจในความหมายของอิสลาม อันเป็นศาสนาที่รัดรึงวีถีชีวิตของผู้ศรัทธาต่อคำสอนที่ถูกต้องและครบถ้วน

                มูฮัรรัม  เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการก่อเกิดอริยธรรมมนุษย์ที่มุ่งเน้นเรื่องความรัก ความยุติธรรม  ความเท่าเทียม  ความสมานฉันท์ ในการมีปฎิสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกหมู่เหล่า   ไม่ผิดนัก  ถ้าจะบอกว่าอิสลามเป็นศาสนาแรกที่มุ่งเน้นด้านสิทธิของผู้คนในการเข้าถึงการศรัทธาทางศาสนาโดยที่มีระบุถึงหลักการนี้ในคัมภีร์สูงสุดคือ  อัลกุรอาน

                ปฏิญญาสำคัญของมนุษย์ชาติ ซึ่งน่าจะเป็นปฏิญญาแรกของโลก ที่รู้จักกันในนามปฏิญญามาดีนะท์   เป็นข้อบ่งชี้สำคัญทางประวัติศาสตร์  ที่แสดงให้เห็นถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์  การเคารพในสิทธิ    และการให้คุณค่าต่อความเห็นที่ต่างของทุกผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองมาดีนะห์  การให้อิสระทางศาสนา  และการปกป้องต่อชนต่างศาสนิก  เป็นหนึ่งใน  47  ข้อที่ท่านศาสดาได้กำหนดไว้ในปฏิญญานี้

        เวลาผ่านไปถึง  1400  ปี  จากปฏิญญามาดีนะห์  โลกยุคใหม่เพิ่งจะได้เห็นองค์การสหประชาชาติ  (UN)  ประสบความสำเร็จในการจัดทำปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่อง สิทธิมนุษยชน

                 ความเชื่อที่แตกต่างย่อมไม่ไช่ประเด็นที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม  ย่อมไม่ใช่ข้อจำกัดที่แต่ละฝ่ายจะได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม   และให้เกียรติต่อความต่างทางความคิดที่แต่ละฝ่ายมี

                ท่านญาฟิร  บินอับดุลเลาะห์  ซึ่งเป็นสหายของท่านศาสดา  ได้กล่าวว่า  วันหนึ่งมีผู้คนกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพของคนหนึ่งผ่านไม่ไกลจากที่ท่านศาสดาได้นั่งอยู่   ได้เห็นดั่งนั้นท่านศาสดาได้ยืนขึ้นตรง  พวกเราที่อยู่กับท่านศาสดาก็ได้ปฎิบัติตามที่ศาสดาได้ปฏิบัตินั้น  ท่านญาฟิรก็ได้ถามท่านศาสดา โอ้รอซูลุลเลาะห์  ศพที่หามมานั้นเป็นชาวยิว   ศาสดาได้ตอบว่า เขาไม่ไช่มนุษย์หรือ ?    เมื่อใดก็ตามแต่ที่พวกท่านได้เห็นขบวนศพผ่านมายังท่าน ท่านต้องยืนเพื่อให้ความเคารพ
                การให้เกียรติ  ต่อคนที่มีความเห็นต่าง  เป็นสิ่งที่ถูกปฏิบัตินับแต่สมัยศาสดา จนถึงเหล่าผู้สืบทอดนับเนื่องตามมา  ในยุคอูมัร  มีชาวยิวที่ยากจนเข้ามาหา   เมื่อได้พบกับอูมัร  ท่านก็ได้พาชาวยิวคนนั้นไปยังบ้านของท่าน  และได้บริจาคสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต  พร้อมกับได้สั่งให้ไปยังบัยตุลมาล เพื่อรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมกับกล่าวว่า  แท้จริงซะกาตนั้นเพื่อคนยากจนและคนนี้ก็เป็นคนจนจากชาวคัมภีร์

                การแสดงออกถึงความอ่อนโยน ความรักและความใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์  เป็นสิ่งที่มุสลิมผู้ศรัทธาต้องกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในแต่ละวัน  และในทุกช่วงก้าวของชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นในช่วงชีวิตที่ตกต่ำ  หรือในช่วงที่มีอำนาจ หรือตำแหน่งสูงเพียงใด  บุคลิกภาพเช่นนี้ย่อมอยู่คู่กับเราตลอดไป

ในปี  1099  เมื่อพวกคริสเตียน  ได้ยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์  ถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่แผ่นดินแห่งนั้น  เกิดการรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน  แต่เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1187 ซอลาฮุดดีน อัยยูบี ได้ยกทัพยึดคืนแผ่นดินบาเลสไตน์  หลังจากที่ตกอยู่ในมือของพวกครูเสดมาเป็นเวลา 88 ปี ชาวเมืองเยรูซาเลมได้รับการปฏิบัติจากกองทัพของศอลาฮุดดีนอย่างดี และด้วยศีลธรรมอันสูง   ทุกคนในแผ่นดินแห่งนั้น ได้รับการปกป้องในเกียรติภูมิของตนเอง ทั้งชาวยิวและคริสเตียน สามารถปฏิบัติตามหลักความเชื่อ  และแนวปฏิบัติทางศาสนาของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่และไม่มีการกีดกันใด ๆ ทั้งสิ้น

                ตัวอย่างข้างต้นถือเป็นข้อบ่งชี้ถึงความใจกว้าง  และการให้ความรักอย่างเต็มเปี่ยมต่อเพื่อนมนุษย์  โดยไม่คำนึงต่อภูมิหลัง  และความเชื่อใดๆ  โดยมีความยุติธรรมเป็นแกนหลักต่อการมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน

                อัลเลาะห์ทรงรักผู้ที่มีความยุติธรรม  และปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของผู้คน  อัลเลาะห์ได้กล่าวไว้ในอัลกรุอาน


ความว่า  "อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าใน เรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่ พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (มุมตาฮานะห์ : 8 )

                มูฮัรรัม  จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์  เป็นช่วงเวลาที่เราต้องมาทำการศึกษา  และได้ตระหนัก ต่อคุณค่าทางศีลธรรม  ความหมายทางสังคมและการเมือง  ในการสร้างความรัก  และความใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะต่อผู้เดือดร้อน หรือคนอ่อนแอโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

No comments: