มูฮัรรัม : ย่างก้าวแห่งความรักต่อมวลมนุษย์
มูฮัรรัม เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการก่อเกิดอริยธรรมมนุษย์ที่มุ่งเน้นเรื่องความรัก
ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความสมานฉันท์
ในการมีปฎิสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกหมู่เหล่า
ไม่ผิดนัก
ถ้าจะบอกว่าอิสลามเป็นศาสนาแรกที่มุ่งเน้นด้านสิทธิของผู้คนในการเข้าถึงการศรัทธาทางศาสนาโดยที่มีระบุถึงหลักการนี้ในคัมภีร์สูงสุดคือ อัลกุรอาน
ปฏิญญาสำคัญของมนุษย์ชาติ ซึ่งน่าจะเป็นปฏิญญาแรกของโลก
ที่รู้จักกันในนามปฏิญญามาดีนะท์ เป็นข้อบ่งชี้สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ การเคารพในสิทธิ และการให้คุณค่าต่อความเห็นที่ต่างของทุกผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองมาดีนะห์ การให้อิสระทางศาสนา และการปกป้องต่อชนต่างศาสนิก เป็นหนึ่งใน
47 ข้อที่ท่านศาสดาได้กำหนดไว้ในปฏิญญานี้
เวลาผ่านไปถึง 1400 ปี จากปฏิญญามาดีนะห์ โลกยุคใหม่เพิ่งจะได้เห็นองค์การสหประชาชาติ (UN) ประสบความสำเร็จในการจัดทำปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่อง สิทธิมนุษยชน
ความเชื่อที่แตกต่างย่อมไม่ไช่ประเด็นที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ย่อมไม่ใช่ข้อจำกัดที่แต่ละฝ่ายจะได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม และให้เกียรติต่อความต่างทางความคิดที่แต่ละฝ่ายมี
ท่านญาฟิร บินอับดุลเลาะห์ ซึ่งเป็นสหายของท่านศาสดา ได้กล่าวว่า
วันหนึ่งมีผู้คนกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพของคนหนึ่งผ่านไม่ไกลจากที่ท่านศาสดาได้นั่งอยู่ ได้เห็นดั่งนั้นท่านศาสดาได้ยืนขึ้นตรง พวกเราที่อยู่กับท่านศาสดาก็ได้ปฎิบัติตามที่ศาสดาได้ปฏิบัตินั้น ท่านญาฟิรก็ได้ถามท่านศาสดา “โอ้รอซูลุลเลาะห์
ศพที่หามมานั้นเป็นชาวยิว” ศาสดาได้ตอบว่า “เขาไม่ไช่มนุษย์หรือ ? เมื่อใดก็ตามแต่ที่พวกท่านได้เห็นขบวนศพผ่านมายังท่าน
ท่านต้องยืนเพื่อให้ความเคารพ”
การให้เกียรติ ต่อคนที่มีความเห็นต่าง เป็นสิ่งที่ถูกปฏิบัตินับแต่สมัยศาสดา จนถึงเหล่าผู้สืบทอดนับเนื่องตามมา ในยุคอูมัร
มีชาวยิวที่ยากจนเข้ามาหา เมื่อได้พบกับอูมัร ท่านก็ได้พาชาวยิวคนนั้นไปยังบ้านของท่าน และได้บริจาคสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต พร้อมกับได้สั่งให้ไปยังบัยตุลมาล
เพื่อรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมกับกล่าวว่า “แท้จริงซะกาตนั้นเพื่อคนยากจนและคนนี้ก็เป็นคนจนจากชาวคัมภีร์”
การแสดงออกถึงความอ่อนโยน
ความรักและความใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์
เป็นสิ่งที่มุสลิมผู้ศรัทธาต้องกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในแต่ละวัน และในทุกช่วงก้าวของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในช่วงชีวิตที่ตกต่ำ หรือในช่วงที่มีอำนาจ หรือตำแหน่งสูงเพียงใด บุคลิกภาพเช่นนี้ย่อมอยู่คู่กับเราตลอดไป
ในปี 1099
เมื่อพวกคริสเตียน
ได้ยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์
ถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่แผ่นดินแห่งนั้น เกิดการรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน แต่เมื่อวันที่ 2
ตุลาคม ค.ศ. 1187 ซอลาฮุดดีน อัยยูบี
ได้ยกทัพยึดคืนแผ่นดินบาเลสไตน์ หลังจากที่ตกอยู่ในมือของพวกครูเสดมาเป็นเวลา 88 ปี ชาวเมืองเยรูซาเลมได้รับการปฏิบัติจากกองทัพของศอลาฮุดดีนอย่างดี
และด้วยศีลธรรมอันสูง ทุกคนในแผ่นดินแห่งนั้น ได้รับการปกป้องในเกียรติภูมิของตนเอง
ทั้งชาวยิวและคริสเตียน สามารถปฏิบัติตามหลักความเชื่อ และแนวปฏิบัติทางศาสนาของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่และไม่มีการกีดกันใด
ๆ ทั้งสิ้น
ตัวอย่างข้างต้นถือเป็นข้อบ่งชี้ถึงความใจกว้าง และการให้ความรักอย่างเต็มเปี่ยมต่อเพื่อนมนุษย์ โดยไม่คำนึงต่อภูมิหลัง และความเชื่อใดๆ โดยมีความยุติธรรมเป็นแกนหลักต่อการมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน
อัลเลาะห์ทรงรักผู้ที่มีความยุติธรรม และปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของผู้คน อัลเลาะห์ได้กล่าวไว้ในอัลกรุอาน
ความว่า "อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าใน เรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่ พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา
และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม"
(มุมตาฮานะห์
: 8 )
|
มูฮัรรัม จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่เราต้องมาทำการศึกษา และได้ตระหนัก ต่อคุณค่าทางศีลธรรม ความหมายทางสังคมและการเมือง ในการสร้างความรัก และความใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะต่อผู้เดือดร้อน
หรือคนอ่อนแอโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
No comments:
Post a Comment