Thursday, April 27, 2006



เธอผู้ภักดี

ในท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ในบ้านนั้น เต็มไปด้วยความโศกสลด เมื่อผู้เป็นสามีของบ้านได้กลับสู่เราะห์มัตของอัลเลาะห์ตะอาลา. ในบรรดาผู้คนที่มากหน้าหลายตาที่ได้มาเยียมเยียน ก็มีเธอผู้นั้น ผู้เป็นภรรยาของผู้ล่วงลับ กับชุดแต่งกายสะอาดสะอ้าน และดูเรียบร้อยมาก ในท่าทีที่สงบเสงี่ยมแต่สายตาก็ฉายแววแห่งความเศร้ารันทดอยู่ไม่น้อย.

ในขณะที่การห่อศพด้วยผ้าขาว กำลังจะเสร็จสิ้น คงเหลือแต่เพียงใบหน้า เธอก็ได้เข้าใกล้ศพและก้มลงจูบหน้าผากสามีผู้กำลังจะไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว เธอบอกกับสามี ด้วยถ้อยคำบางอย่างที่ฉันไม่อาจจะได้ยินได้.

และแล้วร่างของสามีเธอก็ถูกเคลื่อนย้ายไปฝังในกูโบร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอนัก เธอก็ตามหลังไปและรออยู่จนกระทั้งฝังเสร็จสิ้น และในช่วงเวลานั้นทั้งญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ ก็ได้มาหาเธอ ให้สลามกับเธอ พร้อมกับแสดงความเสียใจกับความพลัดพรากที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือภายหลังการฝังศพเสร็จสิ้นลงแล้ว เธอสามารถทำตัวให้เป็นปกติได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เธอตอบขอบคุณต่อทุกคนที่ได้มาเยี่ยมเยียน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

ฉันได้เข้าไปใกล้เธอ และพูดว่า “ก๊ะ บังเขาไปดีแล้ว ก๊ะซอบัรได้ดีมากเลย อัลเลาะห์คงจะตอบรับในสิ่งดีๆ ที่บังได้ทำไป” เธอแค่มองมาที่ฉัน โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่เธอก็ยังคงยิ้มอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความแปลกใจให้กับฉันมากขึ้นไปอีก.

ไม่มีใครดีใจกับการที่ต้องพลัดพราก ยิ่งคนที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานานนับสิบปี โดยเฉพาะครอบครัวของเธอ ผู้ชึ่งได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นครอบครัวที่เปี่ยมสุขอย่างยากที่จะหาครอบครัวใดมาเทียบเคียงได้กับสังคมยุคปัจจุบัน.

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉันก็ได้ไปหาเธอผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง เธอก็ยังคงประกอบภารกิจปกติ เหมือนเมื่อตอนที่สามีเธอยังอยู่ “อัสสาลามูอาลัยกุม ก๊ะ กำลังยุ่งมากละซินะ “

เธอตอบว่า “วาอาลัยกุมุสลาม น้องมานั่งนี้ก่อน พี่ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอกจ๊ะ”

ฉันสนใจเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตคน เพราะถือว่าคนทุกคน กว่าจะผ่านชีวิตมาถึงวันนี้ได้ ก็ได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ความรู้ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชีวิต ย่อมจะต้องมีค่ามากมาย มากกว่าความรู้จากสถาบันการศึกษาใดๆ ในโลกนี้

ฉันไม่รีรอใดๆ ที่จะสอบถาม ถึงความรู้สึกค้างคาใจ “ทำไมดูก๊ะ ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจนัก กับการจากไปของบัง ทั้งๆ ที่ใครต่างก็รู้กันว่า ครอบครัวของก๊ะเป็นครอบครัวที่รักใคร่กันมาก สามารถเป็นตัวอย่างสำหรับครอบครัวอื่นๆ ได้เป็นอย่างดีเลย”

เธอตอบว่า “ทำไมน้องต้องถามอย่างนั้นด้วย พี่ก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทำไมพี่จะไม่เจ็บปวดล่ะ กับการจากลา ที่หมายถึงทั้งชีวิตเช่นนี้”

แล้วเธอก็เงียบเสียงลง ฉันพยายามหาคำพูดที่ฟังดูแล้วปกติที่สุด เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อความรู้สึกของเธอ ฉันถามเธอว่า “ดูๆ แล้ว ก๊ะปรับตัวได้ดีมากเลย ก๊ะสามารถยิ้มและพูดคุยกับทุกคนได้เหมือนปกติ แม้แต่ในช่วงที่......กูโบร์ ก๊ะก็ยิ้มได้ ไม่มีใครเห็นน้ำตาของก๊ะเลย”

เธอมองมาที่ฉัน และตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ความเศร้าโศกเสียใจของคนๆ หนึ่ง ต้องหมายถึงแค่การหลั่งน้ำตาเท่านั้นหรือ ? ฉันไช้ชีวิตร่วมกับบังมานับสิบปี ในฐานะลูกผู้หญิง ตอนนี้ฉันได้สูญเสียผู้ชายอันเป็นที่รักยิ่งของฉันแล้ว และในฐานะภรรยาที่ต้องเคารพภักดีต่อสามี ซึ่งเขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ”

เธอกล่าวขยายความเพิ่มว่า “ความเจ็บปวดไม่จำเป็นต้องหลั่งน้ำตาเสมอไป เราอาจจะยิ้ม หรือหัวเราะไปก็ได้ ในฐานะลูกผู้หญิงฉันเศร้าและเสียใจมาก แต่ในฐานะภรรยา ฉันรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่เป็นไป บังเป็นผู้ชายที่ดีมาก เขาในฐานะสามีของฉัน นอกจากจะยกย่องฉัน ให้เกียรติฉันแล้ว เขายังแนะนำฉัน ตักเตือนฉัน บังเป็นผู้นำครอบครัว และเป็นสามีที่ประเสริฐที่สุด บังได้สอนฉันในหลายๆ เรื่อง. เขาหมั่นบอกรักฉัน บอกถึงความห่วงใยในตัวฉันทุกๆ วัน แม้แต่บางวันที่เราทะเลาะกัน บังก็ยังมีใจบอกรักฉัน หรือแม้แต่บางครั้งที่เราโกรธกันถึงขั้นไม่ยอมพูดจาใดๆ แต่คำว่ารักจากเขา ก็มีมาถึงฉันอย่างไม่ห่างหาย บางทีเขาก็เขียนข้อความเช่นนั้น ใส่ในกระเป่าเสื้อของฉัน”

เธอบอกอีกว่า “พี่ถามบังว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น บังก็ตอบว่า ‘ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร และไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นใด บังรักเธอ และห่วงใยเธอเสมอ’ บังจะทำทุกอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อฉัน คำพูดของบังยังคงติดตรึงใจฉันจนถึงทุกวันนี้ และตลอดไป น้องลองคิดดูซิ มีผู้หญิงที่ไหนบ้าง ที่จะไม่เจ็บปวดกับการที่ต้องจากลาจากผู้ชายที่สุดรัก และสุดห่วง ต่อฉัน แต่ว่า...” เธอเงียบเสียงลง

“แต่ว่าอะไรหรือก๊ะ” ฉันถามเธอในทันทีทันใด เพราะอยากรู้จริงๆ

เธอก็ตอบในทันทีว่า “แต่ในฐานะของภรรยา ฉันไม่สามารถที่จะร้องให้ได้”

ฉันถามต่อว่า “แล้วทำไมล่ะ ?”

“ในฐานะของภรรยาพี่ไม่อยากเห็นบังเขาไปโดยที่ฉันต้องร้องให้ ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา บังเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งของฉันเท่านั้น หากแต่เขาคือสามีฉัน เขาคือครู เขาคือผู้นำ เขาคือมูรอบบี อันไม่อาจจะหาได้ที่ไหนอีกแล้ว เขาไม่ห้ามหรอกหากว่าฉันจะเสียใจ แต่เขาย้ำเตือนฉันเสมอว่า ยังไงๆ ก็อย่าถึงขั้นต้องร้องให้คร่ำครวญ... โลกนี้แค่ทางผ่านชั่วคราว แล้วนับประสาอะไรที่เราต้องไปร้องให้”

เธอย้อนความหลังชีวิตการเป็นภรรยาของเธอว่า “ในคืนหนึ่ง เราละหมาดร่วมกัน ฉันเห็นบังร้องให้ ฉันแปลกใจมาก เพราะตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นอย่างนั้นเลย และเหตุการณ์ในคืนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ตลอดไป คืนนั้นบังบอกฉันว่า ‘ถ้าวันหนึ่งข้างหน้า ไม่ว่าใคร ต้องไปก่อน คนที่ยังอยู่ต้องไม่ร้องให้ เพราะจะทำให้คนที่ไปก่อนต้องเสียใจ และไปโดยที่ต้องพะวงกับคนที่อยู่ข้างหลัง’ ฉันจึงต้องตามในสิ่งที่ได้สัญญากันในคืนนั้น เพราะอยากให้บังไปดี ไปแบบมีความสุข”

ไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรต่อไป เธอก็พูดต่อไปว่า “ฉันจะมีความสุขมาก หากได้รู้ว่าบังเขามีความสุข ในช่วงสุดท้ายที่เราได้อยู่ร่วมกัน ฉันอยากให้บังได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นช่วงชีวิตนี้ หรือในอาคีรัตข้างหน้า ฉันรักเขามาก และใจฉันยังพร่ำบอกเขามาโดยตลอด ถึงความประทับใจ และขอขอบคุณอย่างที่สุดต่อบัง เพราะถึงแม้บังจะไปจากชีวิตฉันแล้ว แต่บังก็ยังได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าต่อฉัน นั้นคือความรักต่ออัลเลาะห์ ครั้งหนึ่งบังเคยพูดกับฉันว่า หากเราไม่สามารถร่วมชีวิตกันบนโลกนี้ได้แล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะในฐานะสามี-ภรรยา เราจะพบกันอีก และได้ร่วมชีวิตอย่างยาวนานในอาคีรัต หรือในสวงสวรรค์ของพระเจ้า ตราบเท่าที่เรายังยึดมั่นในแนวทางของอัลเลาะห์ และตอนนี้บังก็ได้เดินทางล่วงหน้าจากฉันไปแล้วด้วยดี น้องดุอาอให้พี่ด้วย เพื่อที่ว่าพี่จะได้เดินทางต่อไปด้วยดี อีกเช่นกัน พี่รักบังมาก พี่อยากได้พบกับบังอีก”

เธอจบคำพูดของเธอในวันนั้น ด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเธอเปี่ยมด้วยความสุขอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้คนฟัง น้ำตาหลั่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว.

No comments: