Friday, November 23, 2012

15 ข้อ เตือนใจ ถ้าต้องอกหัก





อกหัก


ต้องคิดว่า  เป็นเรื่องปกติ  เพระไม่มีใครสมหวังตลอดกาล  ไม่มีใครผิดหวังตลอดไป  ปัญหาที่กระทบต่อเราในวันนี้  เป็นวัคซีนในการสู้กับปัญหาใด    ในวันข้างหน้า   ซึ่งแน่นอนว่าจะมีความเข้มข้นมากกว่า  และให้ถือในข้อปฏิบัติ  ดั่งนี้

1.       เขาไม่ไช่คนที่ดีที่สุดสำหรับเรา  และเราอย่าจินตนาการว่ารักเราคือความ  Happy  Ending  ยังมีความ  Happy  อื่นๆ อีกมาก ที่ชีวิตเรา สามารถหามาได้

2.       ถ้าต้องร้องให้ก็ร้องเถิด  ร้องให้เต็มที่  การระบายทั้งน้ำตาเป็นการระบายที่ดีที่สุด  แรกเกิดเรามีน้ำตา  ทั้งน้ำตาเราและน้ำตาแม่เรา  แล้วเหตุไฉน เราจะร้องอีกไม่ได้

3.       หาทางออกกำลังกาย  ที่ใช้พลังงานเยาะ    เช่นว่ายน้ำหรือฝึกความแม่นยำในฝีมือ โดยการขว้างปาสิ่งของ  ปาต้นไม้  เป็นต้น (แต่ต้องไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อน หรือความเสียหายใดๆ กับใคร)

4.       ขอบคุณเขาที่ทำให้เรารู้จักโลกใบนี้มากขึ้น  ความเจ็บปวดที่เขามีให้กับเรา จะเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดสำหรับเรา   ในความมั่นคง  ความเข้มแข็ง  กับรักแท้  ที่อัลเลาะห์จะให้กับเราในอนาคต

5.       เปลี่ยนทรงใหม่ของตนเองทั้งทรงผม การวางตัว ท่าทีการแสดงออก  ที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นว่าเราคือเรา   เขาไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ต่อเราอีกเลย

6.       กินอาหารที่เราชอบโดยเฉพาะที่มีคาโบไฮเดรตสูง   เช่น  ข้าว  ขนมปัง  หรืออาหารอื่นที่ทำจากแป้ง  เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง  สร้างความกระชับกระเชงให้กับร่างกาย

7.       ตื่นเช้าให้มองที่ตัวเอง  และบอกกับตนเองว่า  ฉันไม่ได้อกอัก  ฉันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องคิดถึงคนแบบเขา

8.       ให้คิดตรงกันข้ามกับความรู้สึก  รักเขา  ซึ่งคนรักมักมองแต่สิ่งดี ๆ ของเขา โดยละเลยสิ่งไม่ดี  วันนี้เรามองภาพตรงกันข้ามบ้าง   เพราะในความเป็นมนุษย์ที่  Perfect  ทุกอย่างนั้นไม่มี  จึงไม่มีเหตุผลที่เรามองแต่ความดีของเขา

9.       อย่าให้มีเวลาว่างมากนัก พยายามทำอะไรก็ได้ ที่เราอยากทำ เช่น  รดน้ำต้นไม้    ไปเดินตลาด เล่นกีฬา  เลี้ยงสัตว์ที่ชอบ เป็นต้น

10.    ใส่เสื้อสีเขียว  หรือมองหาสิ่งที่เป็นสีเขียวให้มากที่สุด  นักจิตวิทยาบอกว่า สีเขียวถือเป็นสีที่สามารถกล่อมเกลาจิตใจได้

11.    ทิ้งหรือเก็บไว้ไกลตาบรรดาสิ่งของต่าง ๆ  ที่เขาเคยให้มา  หรือของที่เป็นสัญลักษณ์แทนเขา ทั้งรูปภาพ ของที่ระลึกต่างๆ เป็นต้น
12.    เขียนข้อมูลอันพึงประสงค์สำหรับชายหรือหญิงในฝันคนต่อไป  โดยใช้ประสบการณ์จากความผิดหวังที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นบทเรียน  หลังจากนั้นก็ลองใคร่ครวญและพัฒนาตนเอง เพื่อการทำให้ตนเองเป็นดังคนที่ฝันนั้นควรเป็นอย่างไร ?

13.    อย่าประชดชีวิต อย่ามองว่าเราคือผู้แพ้  เพราะแพ้ ชนะ อยู่ที่ใจ และการรู้จักรักษาเกียรติยศของตนเอง การรู้จักดูแลตนเอง ไม่ถูกชักนำจากอารมณ์ ใฝ่ต่ำต่างๆ  นี่แหละคือผู้ชนะที่แท้จริง

14.    เราต้องให้ความยุติธรรมให้กับตนเอง  และสร้างความคิดเชิงบวกให้มากขึ้น  เขาจากเราไป หาไช่เพราะเราไม่ดีพอ แต่เขาไม่รู้จักรักษาความดีจากที่เรามีต่างหาก   

15.    จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกกำหนด  ถ้าการลากัน ทำให้เรา เจ็บปวด  หรือรวดร้าว ระทม ขมขื่น จงบอกกับตนเองว่า  อัลเลาะห์ได้กำหนดไว้แล้ว  เฉกเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่เรามีความสุข นั้นเพราะเนิ๊ยะมัตที่ถูกกำหนดไว้  เรามีสุขได้   เราก็ทุกข์ได้  เราขอยอมรับกับทุกอย่างด้วยใจที่เปิดกว้าง

Friday, November 16, 2012

มูฮัรรัม



มูฮัรรัม  :  ย่างก้าวแห่งความรักต่อมวลมนุษย์


              ปรากฏการณ์สำคัญใด ๆ  ย่อมไร้คุณค่า  หากเราไม่ให้ความหมายหรือสร้างคุณค่าต่อปรากฏการณ์นั้น ๆ


วันที่ 1  มูฮัรรัม   ถือเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งของปฎิทินอิสลาม  หรือปีใหม่อิสลามนั้นเอง  1 มูฮัรรัม    เป็นจุดกำเนิดของอริยธรรมที่มนุษย์ชาติทุกคนจะต้องทำการศึกษา     กับบ่อเกิดแห่งการเปลี่ยนแปลง อริยธรรมมนุษย์ครั้งสำคัญ   มูฮัรรัมเป็นช่วงตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สามารถสร้างบทเรียนคณานับ    โดยเฉพาะต่อการสร้างความเข้าใจในความหมายของอิสลาม อันเป็นศาสนาที่รัดรึงวีถีชีวิตของผู้ศรัทธาต่อคำสอนที่ถูกต้องและครบถ้วน

                มูฮัรรัม  เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการก่อเกิดอริยธรรมมนุษย์ที่มุ่งเน้นเรื่องความรัก ความยุติธรรม  ความเท่าเทียม  ความสมานฉันท์ ในการมีปฎิสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกหมู่เหล่า   ไม่ผิดนัก  ถ้าจะบอกว่าอิสลามเป็นศาสนาแรกที่มุ่งเน้นด้านสิทธิของผู้คนในการเข้าถึงการศรัทธาทางศาสนาโดยที่มีระบุถึงหลักการนี้ในคัมภีร์สูงสุดคือ  อัลกุรอาน

                ปฏิญญาสำคัญของมนุษย์ชาติ ซึ่งน่าจะเป็นปฏิญญาแรกของโลก ที่รู้จักกันในนามปฏิญญามาดีนะท์   เป็นข้อบ่งชี้สำคัญทางประวัติศาสตร์  ที่แสดงให้เห็นถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์  การเคารพในสิทธิ    และการให้คุณค่าต่อความเห็นที่ต่างของทุกผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองมาดีนะห์  การให้อิสระทางศาสนา  และการปกป้องต่อชนต่างศาสนิก  เป็นหนึ่งใน  47  ข้อที่ท่านศาสดาได้กำหนดไว้ในปฏิญญานี้

        เวลาผ่านไปถึง  1400  ปี  จากปฏิญญามาดีนะห์  โลกยุคใหม่เพิ่งจะได้เห็นองค์การสหประชาชาติ  (UN)  ประสบความสำเร็จในการจัดทำปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่อง สิทธิมนุษยชน

                 ความเชื่อที่แตกต่างย่อมไม่ไช่ประเด็นที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม  ย่อมไม่ใช่ข้อจำกัดที่แต่ละฝ่ายจะได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม   และให้เกียรติต่อความต่างทางความคิดที่แต่ละฝ่ายมี

                ท่านญาฟิร  บินอับดุลเลาะห์  ซึ่งเป็นสหายของท่านศาสดา  ได้กล่าวว่า  วันหนึ่งมีผู้คนกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพของคนหนึ่งผ่านไม่ไกลจากที่ท่านศาสดาได้นั่งอยู่   ได้เห็นดั่งนั้นท่านศาสดาได้ยืนขึ้นตรง  พวกเราที่อยู่กับท่านศาสดาก็ได้ปฎิบัติตามที่ศาสดาได้ปฏิบัตินั้น  ท่านญาฟิรก็ได้ถามท่านศาสดา โอ้รอซูลุลเลาะห์  ศพที่หามมานั้นเป็นชาวยิว   ศาสดาได้ตอบว่า เขาไม่ไช่มนุษย์หรือ ?    เมื่อใดก็ตามแต่ที่พวกท่านได้เห็นขบวนศพผ่านมายังท่าน ท่านต้องยืนเพื่อให้ความเคารพ
                การให้เกียรติ  ต่อคนที่มีความเห็นต่าง  เป็นสิ่งที่ถูกปฏิบัตินับแต่สมัยศาสดา จนถึงเหล่าผู้สืบทอดนับเนื่องตามมา  ในยุคอูมัร  มีชาวยิวที่ยากจนเข้ามาหา   เมื่อได้พบกับอูมัร  ท่านก็ได้พาชาวยิวคนนั้นไปยังบ้านของท่าน  และได้บริจาคสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต  พร้อมกับได้สั่งให้ไปยังบัยตุลมาล เพื่อรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมกับกล่าวว่า  แท้จริงซะกาตนั้นเพื่อคนยากจนและคนนี้ก็เป็นคนจนจากชาวคัมภีร์

                การแสดงออกถึงความอ่อนโยน ความรักและความใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์  เป็นสิ่งที่มุสลิมผู้ศรัทธาต้องกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในแต่ละวัน  และในทุกช่วงก้าวของชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นในช่วงชีวิตที่ตกต่ำ  หรือในช่วงที่มีอำนาจ หรือตำแหน่งสูงเพียงใด  บุคลิกภาพเช่นนี้ย่อมอยู่คู่กับเราตลอดไป

ในปี  1099  เมื่อพวกคริสเตียน  ได้ยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์  ถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่แผ่นดินแห่งนั้น  เกิดการรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน  แต่เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1187 ซอลาฮุดดีน อัยยูบี ได้ยกทัพยึดคืนแผ่นดินบาเลสไตน์  หลังจากที่ตกอยู่ในมือของพวกครูเสดมาเป็นเวลา 88 ปี ชาวเมืองเยรูซาเลมได้รับการปฏิบัติจากกองทัพของศอลาฮุดดีนอย่างดี และด้วยศีลธรรมอันสูง   ทุกคนในแผ่นดินแห่งนั้น ได้รับการปกป้องในเกียรติภูมิของตนเอง ทั้งชาวยิวและคริสเตียน สามารถปฏิบัติตามหลักความเชื่อ  และแนวปฏิบัติทางศาสนาของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่และไม่มีการกีดกันใด ๆ ทั้งสิ้น

                ตัวอย่างข้างต้นถือเป็นข้อบ่งชี้ถึงความใจกว้าง  และการให้ความรักอย่างเต็มเปี่ยมต่อเพื่อนมนุษย์  โดยไม่คำนึงต่อภูมิหลัง  และความเชื่อใดๆ  โดยมีความยุติธรรมเป็นแกนหลักต่อการมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน

                อัลเลาะห์ทรงรักผู้ที่มีความยุติธรรม  และปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของผู้คน  อัลเลาะห์ได้กล่าวไว้ในอัลกรุอาน


ความว่า  "อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าใน เรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่ พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (มุมตาฮานะห์ : 8 )

                มูฮัรรัม  จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์  เป็นช่วงเวลาที่เราต้องมาทำการศึกษา  และได้ตระหนัก ต่อคุณค่าทางศีลธรรม  ความหมายทางสังคมและการเมือง  ในการสร้างความรัก  และความใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะต่อผู้เดือดร้อน หรือคนอ่อนแอโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

Thursday, November 01, 2012

การเลี้ยงดูลูกสาวและลูกชาย

การเลี้ยงดูลูกสาวและลูกชาย

ในการเลี้ยงดูลูกสาวและลูกชายต้องให้เหมือนกันในแง่ของการให้ความรักและความใส่ใจ  โดยมีข้อควรให้ความสำคัญระหว่างลูกทั้งสองเพศดังนี้

ลูกสาว
1.   ฝึกในการดูแลร่างกาย การปกปิดในอวัยวะพึงสงวนตั้งแต่เล็ก ๆ
2.   ฝึกให้ช่วยงานบ้านโดยเฉพาะในครัว  การเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
3.   หลีกเหลี่ยงจากของเล่นที่ควรให้กับลูกชาย เช่น หุ่นยนต์ มีด ปืน เป็นต้น
4.    ฝึกเพื่อให้เป็นคนมีน้ำใจอ่อนน้อม  ความอ่อนโยน ชอบเป็นผู้ให้
5.    เมื่อถึงเวลาเหมาะสมต้องสื่อสาร เรื่องทางเพศที่เกี่ยวข้องเช่น  การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์  การดูแลความสะอาด  เป็นต้น
6.    ฝึกความเป็นระเบียบ  ความเรียบร้อยในการจัดการตัวเอง และสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน
7.    ฝึกให้มีความรักในการศึกษาหาความรู้  การพัฒนาตนเองในรูปแบบต่าง ๆ การรู้เท่าทันคน  การมีทักษะในชีวิต เป็นต้น

ลูกชาย
1.   ฝึกความเป็นผู้นำ  ความเสียสละ ความอดทน และการให้ความช่วยเหลือต่อผู้อื่น
2.   หมั่นพาไปยังศาสนสถาน  ให้เป็นผู้นำละหมาดบ้าง  ( เมื่อบรรลุถึงศาสนภาวะ )
3.   ส่งเสริมให้มีความรักต่อการบริการสาธารณะต่าง ๆ เช่น เก็บขยะตามที่สาธารณะ การดูแลคนอ่อนแอ  ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เป็นต้น 
4.    ฝึกซ่อมแซมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในบ้านด้วยตัวเอง เช่น ซ่อมท่อประปา ท่อน้ำ  การตัดผม และงานด้านช่างต่าง ๆ
5.    หลีกเหลี่ยงจากการให้ของเล่นที่เหมาะสำหรับลูกสาวเช่น ตุ๊กตา ฯลฯ
6.    กระตุ้นเตือนตั้งแต่เล็กในการแสวงหาความรู้  แสวงหาประสบการณ์ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ   และถ้ามีโอกาสไปต่างประเทศก็ควรสนับสนุน
7.      ฝึกการให้เกียรติต่อเพศตรงข้าม รู้จักความรักแบบมีสติและเคารพต่อความเห็นต่าง