รอมฎอน : ข้อควรปฎิบัตทางศาสนา กับข้อเท็จจริงที่เป็นไป
รอมฎอนแห่งความจำเริญยิ่งนี้
ได้ก้าวมากว่าครึ่งทางแล้ว ในหลายๆ พื้นที่ของชุมชนมุสลิม เราได้เห็นบรรยากาศใหม่
ที่ไม่เหมือนกับในช่วงเวลาอื่นๆ
เราได้เห็นทั้งบรรยากาศของความตักวา
หรือการแสดงถึงความภักดียิ่งต่อพระผู้อภิบาล แต่ก็มีไม่น้อยอีกเช่นเดียวกัน
ที่รอมฎอนเป็นแต่เพียง “เทศกาลประจำปี”
ที่แวะเวียนมาให้เราได้ร่วมงานนี้กันอีกครั้งหนึ่ง เท่านั้นเอง
มุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องเข้าใจให้ได้อย่างลึกซึ้ง
ถึงหลักคำสอนที่แฝงมากับรอมฎอน ทั้งที่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน และจากหลักปฎิบัติของท่านศาสดา และอย่าให้เป็นเพียงแค่เทศกาลแห่งปีเท่านั้น
มีหลายอย่างที่เราต้องใส่ใจ
และมีบางอย่างที่ควรหลีกห่าง เพื่อไม่ให้รอมฎอนอันบัรกัตยิ่งนี้ประหนึ่งคือประเพณีที่เราปฏิบัติสืบทอดกันมา
ดังนี้
1. การจำกัดขอบเขตของรอมฎอน
แค่เพียงการอดด้วยปากจากการกินและดื่มในเวลากลางวัน ในขณะที่อวัยวะส่วนอื่น ไม่ว่าจะเป็นตา ลิ้น หู
ฯลฯ
ก็ยังคงไม่ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่เป็นความผิดบาป
ท่านศาสดาได้กล่าวว่า
“ใครที่ไม่ได้ละเว้นจากคำกล่าวร้าย
และการกระทำที่ไม่ดี ทั้งทีเขาได้ถือศีลอด เขาจะไม่ได้รับสิ่งใด ๆ จากอัลเลาะห์
(ถูกตัดขาดจากผลบุญ )
ถึงแม้ว่าเขาจะอดทั้งอาหารและเครื่องดื่ม”
(รายงานโดยบูคอรี)
2.
อดในตอนกลางวัน แต่กลางคืนยังคงมีพฤติกรรมที่เป็นข้อห้ามทางศาสนา ทั้งการนินทาเพื่อนมนุษย์ ยังคงสูบบุหรี่
หรือสิ่งที่เป็นหะรอม ตายังคงมองในสิ่งที่เป็นข้อห้าม
3.
มีการจัดเตรียมอาหารการกินที่ล่วงเลยขอบเขตปกติ จนถึงขั้นฟุ่มเฟือย
อัลเลาะห์ได้กล่าวว่า “แท้จริงแล้วคนที่ฟุ่มเฟือยนั้นเป็นพี่น้องกับซัยฎอน”
(อัลอิสรออฺ : 27)
4.
มีการกินอาหารในช่วงละศีลอดเป็นจำนวนมาก จนร่างกายอ่อนเพลียมิอาจจะทำอีบาดะห์
ในตอนกลางคืนได้อย่างเต็มที่
5.
ไม่ใส่ใจกับอีบาดะห์ซุนัตทั้งตารอแวะห์ หรือการละหมาดในยามค่ำคืน
6.
มีการละหมาดตารอแวะห์ที่เกิดจากการชักนำหรือเชื่อในฮะดิษปลอม ซึ่งมีอยู่มากมาย
เช่นบอกว่า การละหมาดตารอแวะห์ในบางคืนจะได้ผลบุญเท่ากับอีบาดะห์ของนบีอิบรอฮีม
ฯลฯ
7.
เวลาที่ควรใช้เพื่อการละหมาดตารอแวะห์ แต่เรากลับใช้เวลานั้นเพื่อความบันเทิง
หรือเพื่อภารกิจอื่นๆ ที่เป็นเป้าหมายเพื่อความสุขทางดนยา
8.
ขี้เกียจทำงาน และไม่ยอมสร้างผลผลิต (Productive) ใด
ๆ ในช่วงถือศีลอด ด้วยเหตุผลเพียงแค่เหนื่อยหรือไม่มีแรง
ซึ่งแย้งกับหลักปฏิบัติของท่านศาสดา
9.
ขี้เกียจอ่านอัลกุรอานหรืออ่านเพียงแค่ซูเราะห์ใดซูเราะห์หนึ่งเท่านั้น
มุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องพยายามอ่านกุรอานให้จบทั้งเล่ม ท่านศาสดาจะใช้เวลาในเดือนนี้เพื่อการศึกษาอัลกุรอานกับญิบรีล
10.
ขี้เกียจขอดุอาอ ทั้งๆ ที่ท่านศาสดาได้บอกกับเราว่า
การดุอาอของผู้ที่ถือศีลอดนั้นจะถูกตอบรับจาก
อัลเลาะห์
(ความหมายของฮาดิษรายงานโดยอิบนูมาญะห์)
11.
ละทิ้งโอกาสทองในช่วง 10 วันสุดท้ายของรอมฎอน
และน่าเสียดายที่บางคนได้ใช้เวลาเช่นนี้เพื่อตระเตรียมรับงานอีดิลฟิฎรี
12.
ไม่ได้รู้สึกเสียใจใด ๆ กับรอมฎอนที่กำลังจะจากเราไปอีกแล้ว และไม่ได้ห่วงพะวงใด ๆ
ว่าเราจะมีโอกาสเข้าสู่รอมฎอนใน 1 ปี ข้างหน้าอีกไหม ?
13.
มีความเชื่อผิดๆ ว่าวิญญาณผู้เสียชีวิตจะกลับมาในเดือนรอมฎอน ความเชื่อเช่นนี้แย้งกับหลักการของอาลัมบัรซัค (ลองศึกษาอัลกุรอานซูเราะห์อัลมุมีนูน
อายะห์ที่ 99 – 100)
14.
บางคนถือศีลอดไม่เคยขาด แต่ไม่ค่อยจะละหมาด
หรือละหมาดตามความสะดวกในบางวักตูเท่านั้น
ท่านศาสดากล่าวว่า “ข้อแตกต่างระหว่างมุสลิมกับมุซริกและกูฟูรก็คือ
คนที่ละทิ้งการละหมาด (รายงานโดยมุสลิม)
อูลามาอฺในยุคก่อนๆ
ถือว่าการละทิ้งละหมาดโดยเจตนาถือเป็นกูฟูร
เพราะฉนั้นการถือศีลอดของคนกูฟูร จะไม่ถูกยอมรับจากอัลเลาะห์
15.
มีการทำลายผลบุญของการถือศีลอดของเดือนนี้
โดยการจัดกิจกรรมหรือการละเล่นที่เลยเถิดจากคำสอนของอิสลามในวันอีดิลฟิฎรี
จนถึงขั้นเป็นมุอฺซียัต
ทั้ง
15 ข้อข้างต้น เป็นแต่เพียงแค่บางส่วนของความบกพร่องที่เกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน
และจากความบกพร่องเหล่านี้ทำให้คุณค่าของรอมฎอนที่เปี่ยมด้วยบัรกัตนี้ถูกทำลายลงไปอย่างน่าเสียดาย
ท่านศาสดาได้กล่าวว่า “ใครที่ถือศียาม
(ศีลอด)ในเดือนรอมฎอนนี้ ด้วยความศรัทธาอย่างแน่วแน่
และหวังความโปรดปรานจากอัลเลาะห์
เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดบาปทั้งหลายที่ผ่านมา”
(รายงานโดยบูคอรี)
No comments:
Post a Comment