Tuesday, November 28, 2006

น้ำผึ่งปนเปื้อนยาพิษ คละเคล้ากับน้ำตา

Photobucket - Video and Image Hosting

บันทึก ณ มุมมืด

ในชั่วโมงก่อนรุ่งสาง

ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่อง อร่ามเรืองไปทั่วยอดไม้

เสียงร้องคร่ำครวญ ปานใจจะขาดอยู่รอน ๆ ของหญิงสาวนางหนึ่ง ดังมาจากข้าง ๆ สัมผัสโสตประสาท ปลุกความสำนึกของข้าพเจ้า ให้ฉายฉาน ถึงเธอผู้นั้น หญิงสาวผู้ซึ่งอ่อนต่อโลก เขลาต่อสังคม แต่ถูกสภาพแวดล้อมฉุดกระชากตัวเธอ ให้ต้องแปดเปื้อนกับคาวราคีไปตลอดชีวิต…………

เธอ คือ อิตถีเพศ ผู้รวยด้วยรูปลักษณ์ ชวนให้เกิดเสน่หาสำหรับหลาย ๆ คน ที่พบเห็น เขาเหล่านั้น ใช้วาจาแทะโลมจิตใจของเธอให้อ่อนไหว เคลิบเคลิ้ม ให้ตกอยู่ภายใต้การชักใยของอารมณ์ฝ่ายต่ำ ลืมสิ้นคำสั่งเสียของพ่อแม่

“เขา” ชักพาเธอสู่สภาพและสิ่งแวดล้อมของสังคมในรูปแบบใหม่ สู่สถานที่หย่อนใจที่ยั่วยวน ชักพาชีวิตเธอสู่ความฟุ้งเฟ้อ หลงไหล สู่อริยธรรมแผนใหม่ สู่วิถีชีวิตที่ไร้แก่นสาร จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเอง………..

สภาพการณ์เหล่านั้นได้ฉุดกระชาก ชีวิตเธอให้ต่ำลง ต่ำลง เธอสนุกสุดเหวี่ยงกับความฉาบฉวยของสังคม และความปลิ้นปล้อนของปากคำชาย แต่เธอก็หาได้สังวรณ์ใจไม่ ซัยฎอนนได้สิ่งสู่เธอให้เห็นคล้อยเกิดความปักใจ มั่นใจ ในคำหวานที่เขาพร่ำพรรณนา

มนุษย์ร้อยเล่ห์ พันมารยา แสร้งแสดงความจริงใจ มากเลี่ยมแพรวพราวขอเพียงให้ได้บรรลุให้สิ่งที่ตนปรารถนา

โอ้เธอเอ๋ย…ชีวิตเธอต้องประสบกับน้ำใจหฤโหด จากมือชายที่แปดเปื้อน คาวราคี แล้วเชียวหรือ…….

เมื่อเสร็จสิ้นอารมณ์หมาย ความเบื่อตามประสาชายผู้เจนโลก เธอจึงถูก “เขา” สลัดทิ้งไม่เหลือเยื้อใย เธอดังดอกไม้เหี่ยวเฉาไร้ซึ่งหมู่ภมร มาดอมดม ดังนกปีกหักเกินกว่าจะโบกปีกโผบินต่อไปได้

ชีวิตเธอหมองไหม้ หัวใจเธอแหลกเหลว น้ำตาประดุจสายธาร……

********

รอยระลึกเก่า ๆ เฝ้าหลอกหลอน, เชือดเฉือน, กัดกรีด, บาดลึก, ลงไปในดวงใจเธอ เธอคือความขมขื่น, เธอคือความปวดร้าว เธอ……..


บทเรียนสอนใจ

ผู้หญิงวัยรุ่นอย่างเรา ย่อมเป็นที่ต้องการของเขา และรักแท้ที่บริสุทธิ์ก็เป็นของสูงที่ทุกคนต่างก็ปรารถนา แต่ในสังคมและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่รอบตัวเรา ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ, ชิงดี ชิงเด่น, กดขี่ แสวงหาผลประโยชน์ จะหาความยุติธรรมได้ยากยิ่ง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเราจะไปหาความรัก เช่นนั้นได้ที่ไหนกัน เราต้องการความรักที่จะผลักดันให้ชีวิตเราสูงขึ้น ความรักเช่นนั้นให้ความหวัง, ให้พลัง, ให้กำลังใจแก่ชีวิต ความใคร่ต่างหากเล่าที่จะฝังและทำลายชีวิตเราไว้ในสุสาน แห่งความชั่วช้าโสมม

Monday, November 27, 2006

Photobucket - Video and Image Hosting
เสี้ยวรำพึง (สำหรับแม่)

ปัญหาในครอบครัวมีด้วยกันทุกคน ส่วนจะมากหรือหรือน้อย ก็เป็นเรื่องของแต่ละครอบครัวไป อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า ทุกๆ ปัญหาจะไม่รุนแรงหรือหนักหนาเกินกว่าที่เราจะยอมรับได้ หากเราสามารถเข้าใจในมูลเหตุของปัญหานั้นๆ

คนทุกคนที่เกิดมา ย่อมมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ทั้งโดยพันธุกรรม หรือโดยวิถีชีวิตที่เติบโตบ่มเพาะขึ้นมา โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนไม่ต้องการสิ่งที่ไม่ดี และโดยธรรมชาติอีกนั้นแหละที่มนุษย์มักจะไม่สนใจใคร่รู้ในความไม่ดีของตนเอง แม่เรา หรือแม่ใครๆ ก็ตามแต่ ก็คือมนุษย์ที่ไม่ได้ต่างจากมนุษย์อื่น ๆ

ลักษณะการเติบโตของแม่ ที่บ่มเพาะความเป็นตัวตน จนถึงวันที่เป็นแม่และเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ แม่ไม่รู้หรอกว่า ลูกต้องการอะไรมากที่สุด แต่ที่แม่รู้มากที่สุดก็คือ แม่จะต้องทำให้ลูกเติบโตอย่างดีที่สุด เท่าที่ชีวิตแม่พอจะทำได้

ชีวิตแม่เติบโตมาอย่างไร ในวันที่แม่เป็นแม่ แม่ก็จะสอนลูกอย่างนั้น เพราะบริบทของแม่ตั้งแต่เล็กๆ แล้วเป็นอย่างนั้น แม่คิดว่าแม่ได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างดีที่สุดแม้ว่าลูกอาจจะไม่พอใจอย่างที่สุดก็ตาม แต่แม่เชื่อว่าซักวันหนึ่งวันที่ลูกมีลูก ลูกก็จะเข้าใจทุกอย่างด้วยตนเอง

สำหรับลูก ๆ จะไม่เรียกสิ่งใดๆ จากแม่ เพราะลูกเข้าใจแล้วว่า แม่ได้ทำทุกอย่างแล้วเพื่อลูก แม้ว่าบางอย่างตัวของลูกเองไม่เข้าใจ แต่ความรักที่มีต่อแม่ได้สลายทุกอย่างที่เป็นความไม่เข้าใจ จนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวให้ต้องรำลึกถึงอีก

***********

มีตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เติบโตของแต่ละคน เป็นข้อบ่งชี้ถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคน

สามีภรรยาคู่หนึ่ง แต่งงานได้ไม่นาน แต่ความไม่ปกติก็เกิดขึ้นในครอบครัวนี้ เมื่อพฤติกรรมเดิมของแต่ละคน ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถรับได้

ฝ่ายหญิงเติบโตมาในครอบครัวที่ได้รับการอบรมและเลี้ยงดูมาอย่างดี ทุกครั้งในเวลาทานข้าว ทุกคนในบ้านจะมาทานข้าวพร้อมๆ กัน. ในเวลาทานข้าวคือเวลาที่ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะได้หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน บอกเล่าเรื่องราวของกัน

คนทำกับข้าวก็ทำอย่างมีความสุข เพราะเมื่อทำเสร็จ ทุกคนก็จะมานั่งร่วมกินกัน สรวลเสกันตามประสาคนในครอบครัวเดียวกัน กับข้าวอาจจะไม่อร่อยไปบ้าง หรือขาดการปรุงแต่งในรสชาติบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณพ่อของบ้านนี้ฉลาด เอาใจแม่เก่ง เช่น ถ้าน้ำบูดู เผ็ดไป คุณพ่อก็จะบอกว่า "ตั้งใจทำอย่างดีเลยนะสำหรับพ่อ จนลืมไปว่าใส่พริกในบูดูถึง 2 ครั้ง" (ตัวอย่าง)

ในครอบครัวนี้ วิถีชีวิตของแต่ละคนจะยุ่งเหยิงซักเพียงใดก็ตาม แต่ทุกคนจะมีเวลาให้แก่กันเสมอ โดยเฉพาะในเวลาทานข้าว

ในขณะที่ฝ่ายชาย เติบโตในครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน เวลาทานข้าว เป็นเวลาของแต่ละคน (ไม่ไช่เวลาของทุกคน) ใครหิวก็เข้าไปกิน หรือบางคนก็กินนอกบ้าน

ชีวิตของฝ่ายชายเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด แล้ว จนโตเป็นผู้ใหญ่และแต่งงานเมื่อทั้งสองคนที่เติบโตในสภาพการเลี้ยงดูที่ต่างกัน แต่มาแต่งงานร่วมชีวิตด้วยกัน แรกๆ ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะต่างโอนอ่อนทุกอย่างให้แก่กัน แต่พอผ่านไปหลายๆ เดือน ฝ่ายหญิงก็ต้องการให้เป็นในแบบที่ครอบครัวของตนเป็น ในขณะที่ผู้ชายก็ต้องการเป็นแบบที่ตนเองเคยชินมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ครอบครัวนี้มีปัญหาทันที และยากที่จะแก้ไข

ถ้าหากว่าแต่ละคนไม่เข้าใจในภูมิหลังของกันและกัน เรื่องนี้ ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในความรู้สึกของผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นเรื่องใหญ่มาก

เรื่องของแม่ที่ไม่มีเวลาให้ลูก และไม่อาจจะสนองตอบในสิ่งที่ลูกต้องการ ลูกเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ในขณะเดียวกัน แม่ไม่ได้เข้าใจในแบบที่ลูกเข้าใจ แม่จึงไม่สามารถสนองในความต้องการของลูกได้

สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ สิ่งที่แม่เป็นแบบนั้น เพราะแม่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ชีวิตแม่ไม่เคยมีโอกาสได้ปรึกษาใดๆ กับแม่ของแม่เลย (หมายถึงยายของเรา) ในฐานะลูกผู้หญิงแม่ก็ต้องการในแบบเดียวกับที่เราซึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกันต้องการ แต่แม่เองก็ไม่เคยได้รับ เพราะยายไม่เคยให้ ชีวิตการเติบโตของแม่เป็นอย่างนั้น พอแม่ได้ลูก (นั้นคือเรา) แม่ก็เลี้ยงเราในแบบเดียวกับที่ ยายได้เลี้ยงแม่มา คิดดูซิน่าสงสารแม่ไหม ?

แม่ไม่เคยได้รับในสิ่งที่แม่ต้องการ แต่ในวันนี้ลูกกลับเรียกร้องในสิ่งที่แม่เองไม่เคยได้เลย แม่เจ็บปวดซ้ำสองนะ เจ็บที่หนึ่งคือแม่ไม่เคยได้ เจ็บที่สองก็คือแม่จะต้องให้ น่าสงสารแม่ไหม ?

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะความห่างเหินในครอบครัว ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ หรือปัญหาด้านสังคม สิ่งที่อยากแนะนำ อีกประการหนึ่งก็คือ ให้คิดว่าเราโชคดีกว่าแม่มากเลยนะเพราะ

1. เรารู้แล้วว่าครอบครัวเรา มีบางสิ่งที่ไม่ปกติ ในขณะที่แม่ไม่รู้

2. เรามีโอกาสได้ศึกษา ได้เรียนรู้ ได้มีประสบการณ์ ได้ประสบพบเห็นกับอะไรๆ มากมาย ที่ไกลตัวออกไป ในขณะที่แม่อาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้ เรางจึงต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ให้เป็นประโยชน์ สำหรับวันข้างหน้า ในวันที่ เราเองมีลูก เราจะเข้าใจดีเลยว่าต้องให้อะไรบ้างแก่ลูก (โดยเฉพาะลูกสาว)

แล้ววันนั้น ชีวิตของเราและครอบครัวจะมีความสุข ขอให้อดทนอีกนิดนะครับขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน
มองที่มา หาทางออก คนอกหัก

ปัญหาทางใจมีด้วยกันทุกๆ คน สุดแท้จะมากหรือน้อย จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเท่านั้นเอง เท่าที่รู้จะเป็นปัญหาของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่คนที่ยอมเปิดเผยหรือยอมปรึกษา (เมื่อมีโอกาส) จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ได้แนะนำไป

1. ต้องทำใจ

2. ทำความรู้จักให้ถ่องแท้ในตัวเรา และตัวเขา (โดยทั่วคนเรามักจะรู้จักคนอื่นมากกว่ารู้จักตนเอง)

3.พยายามมองในส่วนดีๆ ของเขาให้มาก เพื่อนำสิ่งดีๆ นั้นมาปรับใช้

4. พยายามมองความบกพร่องของเรา เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

5. ให้คิดว่า ในการเดินทางไปไหนต่อไหนของเรา ไม่ว่าจะด้วยเส้นทางไหน ๆ ก็มีสิทธิประสบกับอุบัติเหตุด้วยกันทั้งนั้น แม้จะระวังตัวมากเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่ไปชนเขา เขาก็มาชนเรา หรือบางทีอาจจะลงคู หรือหากเดินทางป่า/เขา ก็มีสิทธิถูกงูกัด ถูกกิ่งก้านใม้ขีดข่วน อาจจะสร้างแผลเป็นไปตลอดทั้งชีวิต. ในการเดินทางของชีวิตก็ไม่ต่างกัน ให้คุณคิดว่านั้นคืออุบัติเหตุทางใจ ซึ่งใครๆ ก็เป็นได้

6. ทุกคนมีคำตอบของชีวิตแล้ว คำตอบของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน หรือคนๆ เดียวกันอาจจะตอบไม่เหมือนกันเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขาคนนั้นได้บอกเลิกกับคุณ นั้นก็หมายความว่า เขาได้มีคำตอบใหม่สำหรับชีวิตเขาแล้ว แล้วคุณก็อาจจะคิดว่า "ทำไมคำตอบเขาไม่เหมือนเดิม เหมือนที่เคยพูดๆๆๆมา" และคุณก็ยืนยันกับตัวเองว่า "ผม/ฉันยึดมั่นในคำตอบเดิมของชีวิต" ถ้าคุณคิดอย่างนี้ คุณจะเจ็บปวดอีกนาน ลองเปลี่ยนคำถามและเปลี่ยนคำตอบใหม่ให้ชีวิตคุณ. และอย่าลืมว่า คนที่จะร่วมชีวิตกัน จะต้องตอบคำถามของชีวิตที่เหมือนกัน หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ หรือวันไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสุขหรือช่วงทุกข์

7. การที่คนรักกันในคู่หนึ่ง ต้องเลิกรากันไป ถือเป็นข่าวร้ายมาก แต่ในความร้ายก็มีสิ่งดีแฝงอยู่ นั้นคือการที่คุณหรือเขาสามารถ "เปิดความจริงของตนเอง" ที่ไม่สามารถร่วมทางกันได้ คุณ/เธอไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือ ที่เขาไปวันนี้ วันที่ไม่มีพันธะอะไรเลย ถ้าเขาไปวันหน้า วันที่อาจจะมีบุคคลที่ 3 ของคุณและเขาเข้ามา คุณจะเจ็บไปตลอดทั้งชีวิต ยิ่งต่างศาสนาด้วยแล้ว ก็ไม่รู้ว่า คนที่ 3 จะเป็นอย่างไร

8. พยายามสลัดทิ้งความรู้สึกทางกาย ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือใจ เพราะคนที่หลงๆ กัน มักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องทางกาย
ความรักที่แท้จริง
มนุษย์เป็นมัคลูก (สิ่งที่ถูกสร้าง) ที่มีเกียรติที่สุดบนโลกนี้. มนุษย์สืบเผ่าพันธ์มาจากคนคู่หนึ่งที่ห่วงหาต่อกัน และบางช่วงบางตอนของมนุษย์คู่นั้นก็ต้องเผชิญกับความโศกเศร้าอาดูร นั้นเป็นสัญลักษณ์บอกให้กับเราในชนรุ่นหลังนี้ว่า เมื่อมนุษย์คู่แรกไช่จะเกิดขึ้นมาบนความพร้อมและสมบูรณ์พูนสุข เราผู้เป็นวงค์วานของมนุษย์ผู้นั้น ย่อมมิอาจจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสะดวกสบายโดยตลอดได้.

ชีวิตนี้ต้องต่อสู้ ชีวิตนี้ต้องดิ้นรน ชีวิตนี้ต้องอดทน ชีวิตนี้ต้องพร้อมเผชิญหน้ากับวิบากกรรมใด ๆ บนทางที่เที่ยงตรงและถูกต้อง.

เราเคยตระหนักบ้างไหม กับการกำเนิดของชีวิตนี้ ที่ถือเป็นคุณูปการอย่างล้นเหลือจากองค์ผู้อภิบาลสู่มวลมนุษย์ เมื่อใดที่เราได้เข้าฟังการบรรยาย ช่วงเวลาที่เราทำงาน หรือช่วงเวลาที่เราร่วมสังคม เราคงจะเคยได้ยินเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งสิ่งที่ดีที่ควรค่าแก่การจดจำ หรือเรื่องราวแห่งความทุกข์ท้อระทม

ทุกอย่างเหล่านี้ ได้เวียนว่ายในชีวิตมนุษย์เราเคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ? ทำไมเราจึงต้องเกิดมา ? เราเคยได้คิดคำนึงถึงคุณค่าของชีวิต และชีวิตเราได้มีคุณค่าต่อเพื่อนมนุษย์หรือไม่ อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับคนที่ใกล้ชิดกับเรา ?เราเคยสำนึกหรือไม่ว่า การที่เราสามารถดำรงชีวิตมาจนถึงวันนี้ หาไช่เพราะเหตุอื่นใดไม่ หากแต่นั้นเพราะรัก รักอันยิ่งใหญ่จากเอกองค์อัลเลาะห์…?

เรารู้สึกเศร้าใจมาก กับการที่ต้องจากลากันจากพ่อ จากแม่ จากคนที่เรารัก เรารู้สึกวังเวงเมื่อใดที่ต้องจากเพื่อน เรารู้สึกระทดระท้อ เมื่อใดที่พลาดหวังจากสิ่งที่ใฝ่ฝัน แต่ทุกอย่างเหล่านี้หาไช่จะจีรังยั่งยืนไม่ นอกเสียจากความรักอันเที่ยงแท้ของผู้ทรงนิรันดร์ เราเคยห่วงหาต่อพระองค์ไหม ?

โอ้พี่น้องของฉัน บ่าวของพระองค์ผู้ซึ่งได้รับความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ประทานมา นั้นคือ “อีมาน” และ “อิสลาม” เราต้องตอบสนองต่อความรักอันยิ่งใหญ่นั้นด้วยความดี ด้วยการสร้างประโยชน์ ด้วยการช่วยเหลือต่อผู้ด้อยโอกาส ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ เพื่อความโปรดปรานของพระองค์

เวลาได้เดินทางจากเราไปอย่างรวดเร็ว หากเวลาที่มีนี้ เราไม่ได้ใช้เพื่อสร้างคุณค่า เราก็จะเป็นมนุษย์ผู้สูญเปล่า มนุษย์ผู้ขาดทุน…

จงสัญญาเถิด เราจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และอนาคตจะต้องดีกว่าวันนี้ เพื่อสิ่งที่ดีๆ ประดับตัวเรา ที่ขอมอบแด่คอลิก (ผู้ทรงสร้าง) ผู้เป็นอมตะแห่งความรัก

เพราะความรัก เราพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาประทับใจ และตราตรึงใจกับเราตราบเท่านาน

เรารักอย่างอื่นได้ เราพร้อมสนองตัวเราเองเพื่อความรักนั้น แต่รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเพื่ออัลเลาะห์ อันจะดำรงอยู่เป็นอมตะนิรันดร์กาล…

เขียนให้เพื่อนผู้เดินทางไปทำฮัจย์

หนูอ่านกุรอาน




















หนูอ่านอัลกุรอานได้แล้ว

เรื่องของ "แควน"

Wednesday, November 01, 2006

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (1)

Photobucket - Video and Image Hosting

“อานี มีเรื่องสำคัญที่พ่อกับแม่จะคุยด้วย” นี้ถือเป็นมูกอดดีมะห์ ของการพูดคุยกันของคน 3 คน ในครอบครัวฉันในวันหนึ่ง

แม่นั่งนิ่งคอยสังเกตอากัปกริยาของฉัน โดยให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “อานี ทั้งพ่อและแม่ได้ตอบรับการสู่ขอจากชายคนหนึ่งสำหรับลูก”

“อะไรน่ะ !” ฉันอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง กับสิ่งที่พ่อได้พูดมา เพราะฉันยังไม่คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวในเวลานี้ ฉันยังคำนึงถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตฉัน ที่ฉันต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ผ่านการศึกษาที่ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดๆ มาเป็นอุปสรรคสำหรับความตั้งใจอันแน่วแน่ของฉันนี้

และแน่นอนการมีครอบครัวก็จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ฉันจึงไม่คิดที่จะมีพันธะหรือภาระผูกมัดกับใครทั้งสิ้น

“ทำไมพ่อกับแม่ไม่คุยกับอานีก่อน ๆ ที่จะตกลงอะไร” ฉันเถียงกับพ่อ เพราะไม่พอใจกับการตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใด ๆ กับฉัน ฉันคิดว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอนาคตและชีวิตของฉัน ๆ จะต้องร่วมตัดสินใจด้วย

พ่อนั่งนิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าพ่อกับแม่ปรึกษากับอานีก่อน เราก็รู้ว่าอานีจะตอบอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าอานี จะต้องตอบว่ายังไม่พร้อม ถ้าเช่นนี้แล้วเมื่อไรเล่า ที่อานีจะพร้อม อานีจะมีชีวิตอยู่เช่นนี้อีกนานแค่ไหน ?”

ฉันนิ่งเงียบ แล้วแม่ก็พูดต่อ “ในฐานะผู้ใหญ่ เราก็คาดหวังว่า ลูกซึ่งเรารักและหวงมากๆ นี้ จะต้องมีสามีที่พร้อมจะปกป้องและคุ้มครองชีวิตลูก”

“เราไม่ได้ต้องการจะปล่อยลูกและทิ้งภาระให้กับคนอื่น แต่ลูกต้องเข้าใจว่า นี้คือความรับผิดชอบของพ่อกับแม่ในการหาสามีที่ดีให้กับลูกสาวของตนเอง” เสียงของแม่เต็มไปด้วยความใส่ใจ แต่ฉันยังไม่ยอมเข้าใจและรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น

“อานี! ” พ่อเรียกชื่อฉัน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่เห็นฉันนิ่งเงียบมานาน แล้วพูดว่า“จงมั่นใจเถิดว่า การที่พ่อและแม่ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพื่อสิ่งดีๆ สำหรับตัวของอานี เราหวงอานีเหลือเกิน”

เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ จากฉัน แม่ก็พูดตัดบทออกไปว่า “นี้แหวนของเขา จงสวมเถิดลูก” แม่วางกล่องกลมสีแดงเล็กๆ หน้าฉัน แล้วก็เดินออกไป

ชีวิตฉันในตอนนี้ เป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน หลากหลายคำถามเวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงของฉัน ถ้าฉันตอบตกลงตามการตัดสินใจของพ่อแม่ นั้นก็หมายถึงฉันต้องละทิ้งอนาคตและความฝันของฉันเอง แต่ถ้าฉันปฎิเสธิ ก็ต้องหมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำให้กับพ่อแม่ ผู้ซึ่งมีบุญคุณอย่างล้นเหลือต่อชีวิตฉัน ปราศจากท่านทั้งสอง ฉันคงไม่อาจจะมีชีวิตอย่างทุกวันนี้ฉันตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน

ภาวะทางจิตใจของฉันกำลังห้ำหั่นและต่อสู้กันเอง ฉันจะต้องเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก คือการปฎิเสธิการแต่งงาน หรือฉันจะต้องตามการตัดสินใจของพ่อแม่ ถ้าฉันเอาตัวเองเป็นหลัก นั้นก็หมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ช้ำใจกับฉัน ชีวิตฉันต่อไปจะมีบัรกัตอย่างไร ?

กาลเวลาผั่นผ่านไปหลายวัน กับห้วงคำนึงอันอยากที่จะได้บทสรุปที่ลงตัว... เป็นไปได้อย่างไรกันที่ฉันจะตอบรับแต่งงานกับคนที่ฉันยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตามาก่อน การแต่งงานไม่ไช่การตอบโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่มีสูตรสำเร็จตายตัวอยู่แล้ว

เรื่องของชีวิตคู่ที่จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนตลอดทั้งชีวิต ปราศจากความเข้าใจและการโอนอ่อนผ่อนปรนต่อกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งสองชีวิต สองจิตใจ จะมาหลอมรวมเป็นหนึ่งในฐานะสามีภรรยาได้เรื่องของชีวิตครอบครัวหลายต่อหลายคู่ที่ผ่านหูและผ่านตาฉันเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบลงด้วยการแตกแยก ทั้งสองคนประคับประคองชีวิตคู่ได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น หลังจากนั้นครอบครัวก็ต้องล้มสลาย ประดุจเรือที่แล่นผ่านท้องทะเลลึก ต้องเผชิญกับภาวะอากาศและคลื่นลมที่แปรปรวน และในที่สุดเรือก็อับปางลง เศษชิ้นส่วนพังกระจายระเนระนาดปลิ่วว่อนตามแต่คลื่นลมจะพัดพาไป

และถ้ามีลูก ลูกก็ต้องเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ต้องผจญกับความทุกข์จากการพลัดพราก

“ยาอัลเลาะห์ โปรดช่วยฉันในการตัดสินใจครั้งสำคัญสำหรับชีวิตนี้ จงชี้แนะทางออกสำหรับชีวิตฉันด้วย ขอพระองค์จงอย่าให้ฉันต้องเดียวดายในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของชีวิตนี้โอ้อัลเลาะห์ ชีวิตฉันในตอนนี้ต้องเผชิญกับความบีบคั้นอย่างสุดแสนทรมาน ระหว่างความต้องการของฉันเอง กับความประสงค์ของพ่อแม่โอ้อัลเลาะห์ โปรดชี้แนวทางให้กับฉันด้วย....”

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (2)

“ป๊ะ ม๊ะ อานีได้ตัดสินใจแล้ว” นี้คือถ้อยคำแรกที่ฉันพูดกับพ่อแม่ หลังจากที่เงียบหายไปหลายวัน ในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พ่อกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ และแม่กำลังปักเสื้อ

พ่อถามว่า “ตัดสินใจอะไรหรือ ?” ทั้งพ่อและแม่ก็มองหน้ากันฉันตอบไปว่า “ก็เรื่องผู้ชายที่พ่อกับแม่ ได้เลือกไว้” ทั้งพ่อและแม่มองหน้าฉัน เหมือนจะรู้คำตอบให้ได้

การตัดสินใจของฉัน เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุด เท่าที่สติปัญญาฉันพอมี เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป ก็คือ จังหวะก้าวต่อไปของชีวิตฉันบนเส้นทางสายใหม่ สายที่จะต้องมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนๆ นั้นก็เป็นคนที่ฉันไม่รู้หน้าค่าตามาก่อนเลย

“ถ้าหากว่าสิ่งนี้เป็นตักดีรจากอัลเลาะห์ อานีก็ขอยอมรับในคู่ชีวิตที่ทั้งพ่อและแม่ได้ตัดสินใจเลือกไว้ให้แล้ว” ฉันจบคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ ปนกับความเศร้า และในทันใด น้ำตาฉันก็รินไหลออกมา ตกกระทบบนตักของฉัน

แม่เข้ามานั่งใกล้ฉัน และเข้ามากอดฉัน ฉันก็ไม่เข้าใจว่า ที่แม่กอดนั้นเพราะดีใจที่ฉันได้ตัดสินใจตามและยอมรับที่ทั้งสองได้ตัดสินใจล่วงหน้าแล้ว หรือเข้ามากอดเพื่อต้องการสงบสติอารมณ์ของฉัน

ในท่ามกลางความเงียบพ่อก็พูดออกมาว่า “จงซูโกรเถิด เราหวังว่าอานีจะมีความสุขในชีวิต”

หลังจากนั้นฉันก็เข้าห้อง ปิดตัวเงียบอยู่คนเดียว ไม่สนใจสิ่งใดๆ ภายนอกทั้งสิ้น ฉันรู้ว่าทั้งพ่อแม่ดีใจมากกับคำตอบของฉัน แต่ใครจะรู้บ้างว่า อันตัวฉันนี้รวดร้าวยิ่งนัก กับสิ่งที่กำลังจะเป็นไป ฉันคิดอยู่เสมอว่าแม้ใจฉันจะร้องให้อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ดีกว่าการทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ให้ทั้งสองสบายใจเถิด ส่วนตัวฉันจะเป็นอย่างไรก็ได้

แม่เข้ามาหาฉัน และพูดว่า “แม่จะนัดวันให้ลูกได้พบกับเขาก่อนในเร็วๆ นี้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ รอพบวันนั้นเลยก็ได้” ฉันตอบแม่สั้นๆ เพราะไม่มั่นใจนักว่าหากได้พบกัน บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็ได้ และหากเป็นดังนี้ พ่อกับแม่ก็จะเสียใจอีก

พ่อเข้ามาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพ่อจะได้ยินในสิ่งที่ฉันคุยกับแม่ พ่อพูดกับฉันว่า “ทำไมถึงไม่อยากพบกับเขาก่อน พ่อว่าลูกได้คุยอะไรๆ กับเขาก่อนก็น่าจะดีกว่า”

ฉันตอบพ่อไปว่า “อานีได้สนองตอบต่อความต้องการของทั้งพ่อและแม่แล้ว แล้วทำไมพ่อกับแม่จึงไม่ตามอานีบ้าง” แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความเงียบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเลย..


วันนิกาห์ใจฉันวันนี้รู้สึกสับอลหม่านไปหมด มีความดีใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกเศร้าก็ไม่ได้จางหาย บวกกับความสับสนในชีวิต. ช่างลำบากเหลือเหลือเกินที่จะอธิบายถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายในใจของลูกผู้หญิงเช่นฉัน

ญาติๆ และน้องของฉันนั่งรายล้อมข้างๆ ฉัน พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังชายผู้หนึ่ง ใบหน้าที่คมเข้ม ในมาดขรึม สุขุมและเหยือกเย็น พวกเขานั่งในอีกส่วนหนึ่งของบ้าน พร้อมทั้งพ่อฉัน อีหม่าม และพวกผู้ชายทั้งที่เป็นญาติ และคนแถบบ้านใกล้เรือนเคียง

วันนี้คงเป็นวันสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตฉัน อีกซักครู่ก็จะมีการอิญาบและกอบูล กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขา แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อแม่ ฉันก็ขอมอบหมาย ฉันหวังว่าด้วยการเลือกและการตัดสินใจจากครอบครัวเช่นนี้ จะเปี่ยมด้วยเราะห์มัตจากอัลเลาะห์ตะอาลา

ว่าที่สามีของฉันนั่งหันหน้าเข้าหาพ่อฉัน ซึ่งก็คือพ่อตาของเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ดูท่าทีก็เรียบร้อยมาก เห็นปากเขามุมมิบเหมือนกล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน หลังจากนั้น หลายคนในนั้นก็ผงกหัวตาม เหมือนเห็นพ้องต้องกันในสิ่งที่ได้เอื้อนเอยไป

ทุกคนยกมือดุอาอ ที่ได้อ่านโดยผู้ชายคนนั้น

“อานี เป็นภรรยาของเขาแล้วนะ” เสียงกระซิบจากญาติของฉันคนหนึ่งซึ่งนั่งใกล้ฉันตลอด และโดยไม่ตั้งใจ น้ำตาฉันก็รินไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันสับสนในตัวเองมาก ด้านหนึ่งมีความสุขและดีใจ แต่อีกด้านฉันก็เศร้า และเจ็บปวด แต่จากนี้ไป ฉันก็คือภรรยาของเขา ความรับผิดชอบในครอบครัวทั้งจากพ่อและจากแม่ ก็ได้จบสิ้นลงแล้ว พ่อและแม่ฉันได้ปลดปล่อยภาระทั้งมวลสู่ผู้ชายคนหนึ่ง

“โอ้อัลเลาะห์ จงประทานความสุขให้แก่ครอบครัวฉัน จงประทานลูกหลานที่ดีๆ เพื่อ เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณในศาสนาของพระองค์...” ดุอาอ ของฉัน

ฉันครวญคิดถึงชีวิตในบทบาทใหม่ สถานภาพใหม่ที่ฉันได้รับเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ที่ฉันถูกเรียกว่าเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยสถานภาพนี้ฉันจะต้องรับภาระอยู่ไม่น้อย เป็นภาระเฉกเช่นภรรยาที่ดีทั้งหลายพึงปฎิบัติต่อสามี

“ฉันรับภาระนี้ได้หรือ? ” คำถามของฉันเองที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงอยู่ตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ฉันคงไม่สามารถทำหน้าที่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

“อัสสาลามูอาลัยกุม...” เสียงผู้ชายคนหนึ่ง จากประตูห้องของฉัน หลังจากฉันตอบสลามแล้วเขาก็เข้ามา ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างหน้าฉัน ในขณะที่ฉันไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมา ฉันเพียงมองไปที่ขาเขา และพร้อมกันนั้น ญาติๆ และเพื่อนๆ ของฉันก็พากันเดินออกไป

ฉันรู้สึกเหมือนตัวสั่น และหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และหวาดกลัว แล้วเขาก็นั่งลงข้างหน้าฉัน ส่วนฉันก็ยังไม่กล้า ที่จะมองหน้าเขา ฉันคิดว่าเขาคงรู้ถึงความรู้สึกของฉันในเวลานี้

“ยาฮาบีบี” ถ้อยคำแรกที่ฉันได้ยินจากปากเขา เสมือนหนึ่งต้องการประโลมใจฉัน และให้ฉันมองหน้าเขาฉันพยายามบังคับตนเองให้ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา และในทันใดเขาก็ยื่นมือขวาและจับมือซ้ายของฉัน พร้อมกับบรรจงสวมแหวนทองในมิ้วนางของฉัน

ฉันพยายามบังคับตนเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเรียกเขา “อาบัง” และเราก็สลามต่อกัน จากนั้นฉันก้มลงจูบมือเขา และฉันก็พูดว่า “อานีขอมอบหมายตัวและชีวิตของอานีสำหรับบัง อานีหวังว่าบังจะรับได้ในทุกอย่างจากอานี เท่าที่อานีมีอยู่นี้ ด้วยความอิคลาสจากใจของบัง”

เราจะร่วมกันสร้างชีวิต และร่วมกันก้าวเดินสู่ครอบครัวสากีนะห์” เขาตอบ และให้สัญญากับฉัน นี้คือครั้งแรกที่ฉันได้พบและได้คุยกับสามี ก่อนหน้านี้ฉันเพียงได้ดูรูปเขาที่แม่ให้มา


วันแรกผ่านไป โดยเขากลับบ้าน และพบกันอีกครั้งหนึ่งในวันวาลีมะห์ ในงานเลี้ยงครอบครัวฉันได้จัดอย่างเรียบง่าย แต่ก็ครึกครื้นมาก เพราะญาติพี่น้องทุกคนได้มากันหมด รวมทั้งเพื่อนๆ โดยเฉพาะในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน

ในขณะเดียวกันทั้งญาติพี่น้องฝ่ายสามี รวมทั้งเพื่อนๆ เขา ก็มากันเยอะ เกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ความตั้งใจที่จะทำแบบเรียบง่าย และเล็กๆ ในตอนแรก แต่เมื่อมาถึงวันจริงกลับมากันมาก ทุกคนก็เหนื่อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ฉัน

ฉันสังเกตว่า สามีฉันเป็นคนที่มีบุคลิกภาพและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมาก วันนี้เขาใส่ชุดขาว และเน้นความเป็นท้องถิ่น ดูแล้วช่างเป็นรสนิยมที่หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเขามาก

ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยลืมในการขอดุอาอต่ออัลเลาะห์ ให้ประทานสามีที่ดี สามีที่สามารถเป็นผู้นำในการประคับประคองชีวิตฉันให้ก้าวเดินบนทางที่เที่ยงตรง ทางที่ได้รับการยอมรับจากพระผู้อภิบาล เขาคนนั้นจะต้องรักฉันในฐานะภรรยาฉันไม่เคยคิดอยากได้คนที่มีฐานะ หรือคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เหมือนกับที่เพื่อนๆ ฉันเขาเห่อกัน และมุ่งมั่นอยากจะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนฉันไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ฉันขอเพียงให้เขาคนนั้นเป็นคนที่มีศาสนา และมีความสุขร่วมกันกับฉัน บนพื้นฐานของความพอดี พอมี และพอเพียง

และไม่เคยลืมดุอาอให้ฉันได้ลูกที่ซอและห์ เพื่อเป็นองค์ประกอบที่สุดพิเศษในครอบครัว เสียงอาซานมักริบ จากมัสยิดในหมู่บ้านดังกังวานไปทั่ว ปลุกความรู้สึกของพวกเราทุกคน ให้ต้องละทิ้งภารกิจอื่นใดทั้งปวง

แม้ว่าในตอนนี้แขกเรื่อกลับไปหมดแล้ว แต่การจัดข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น และคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการเคลียร์ทั้งหมด

“เราค่อยมาจัดภายหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ไปละหมาดกันก่อน” เสียงของพ่อจากในบ้าน บอกกับพวกเรา

ในห้องโถงของบ้าน ฉันเห็นน้องๆ ของฉันกุลีกุจอกันปูเสื่อและผ้าสะญาดะห์ ซึ่งก็เป็นบรรยากาศปกติภายในบ้านของฉัน เมื่อใดก็ตามแต่ที่ทุกคนกลับมาบ้านและอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เราก็จะละหมาดร่วมกัน

นี้คือสิ่งที่ครอบครัวฉันได้ถือปฏิบัติเรื่อยมา

ทุกคนพร้อมในที่ละหมาดแล้ว คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่ช้ากว่าเพื่อน และเมื่อฉันพร้อม ก็เข้าร่วมในแถวสุดท้ายร่วมกับแม่และน้องสาว น้องชายฉันอีกอมะห์เสร็จ พ่อก็บอกให้สามีฉันขึ้นไปเป็นอีมามนำละหมาด ตอนแรกดูเขาไม่กล้าขึ้นไป แต่เมื่อเขามองหน้าฉัน และฉันก็ผงกหัวให้ เขาก็เดินขึ้นนำละหมาดทันที

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (3)

หลังจากจบสิ้นการอีญาบและกอบูล วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฉัน และวันนี้ก็เป็นวันแรกอีกเช่นกัน ที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากๆ ที่ได้ละหมาดร่วมกับเขา เขาในฐานะอีมาม จากเสียงอ่านในละหมาดของเขา ทำให้ฉันรู้สึกปลื้มใจจริงๆ เสียงของเขากังวานและชัดเจน อ่านอัลกุรอานได้เสนาะและเพราะพริ้งมาก เหมือนคนอาหรับเลย

บัดนี้ฉันคิดในใจว่า พ่อแม่ช่างเลือกคู่ที่ดีเหลือเกินสำหรับตัวฉัน

“โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าถือเป็นความผิดบาปกับความพลั้งเผลอทั้งหลายของฉัน

โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าได้มอบภาระที่หนักหน่วงให้กับฉัน เหมือนกับที่พระองค์ที่มอบให้กับชนในรุ่นก่อนๆ

โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าให้ฉันต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เหนือกว่าความสามารถของฉัน

โอ้อัลเลาะห์ จงให้อภัยต่อความผิดบาปของฉัน และจงประทานเราะห์มัตแก่เหล่าชนผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยเถิด

โอ้อัลเลาะห์ จงประทานต่อฉัน สำหรับการเป็นภรรยาและสามีที่ดี ตลอดจนประทานลูก ๆ ที่ซอและห์ และจงทำให้เราทุกคน ร่วมอยู่ในกลุ่มชนของบรรดามุตตากีน”

เสียงของเขาอ่านดุอาอ ที่ดูแล้วเต็มไปด้วยความยำเกรง หลังจากเสร็จการละหมาด

หลังจากนั้นเราต่างก็ยื่นมือสลามต่อกัน ฉันเริ่มจากพ่อ แม่ และน้องๆ

ต่อจากนั้นฉันก็เข้าประชิดตัวเขา และยื่นมือสลาม ฉันพูดกับเขาว่า “บังมาอัฟให้กับอานีด้วย” แล้วก้มลงจูบมือเขา เขาจูบที่หน้าผากฉัน

แล้วพูดว่า “โอ้ ฮาบีบี อานีไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใด ๆ กับบังนิ”

พวกเรานั่งพูดคุยในที่ละหมาดจนถึงอีซา และเมื่อละหมาดเสร็จ ฉันเห็นเขาลุกออกไปยังประตูบ้าน

“บังจะไปไหน” ฉันถามเขา

“ของหน้าบ้านยังจัดไม่เสร็จเลย ต้องจัดให้เสร็จก่อน” เขาตอบ แล้วเสียงของพ่อแทรกเข้ามา “วันนี้พักผ่อนก่อน ค่อยจัดพรุ่งนี้ก็ได้”

แต่เขายังยืนกราน “ไม่เป็นไร ยังอีกไม่มาก จัดให้เสร็จในคืนนี้เลยก็ได้” เขาตอบกับพ่อ

ฉันเข้าห้องเปลี่ยนชุดแต่งกาย และลงไปช่วยจัดข้าวของต่างๆ ในเต็นท์ร่วมกับเขา

ดูเขาง่วนกับงานที่อยู่ข้างหน้ามาก ไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันเดินลงมาช่วยเขาด้วย.

ฉันแกล้งเดินไปชนหลังเขา เขาก็สะดุ้งสุดตัว ฉันรู้สึกว่าเขาจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากก็ได้

เขาถามฉันว่า “ลงมาตั้งแต่เมื่อไร”

"ก็ 4- 5 นาทีนี้เอง มุ่งมั่นทำงานจังเลยนะ อานีลงมาทั้งคนยังไม่รู้สึกอะไรเลย” ฉันตอบเขา

“มาอัฟให้บังด้วย บังไม่รู้สึกตัวจริงๆ” เขาตอบกลับมา และในทันใดเขาก็เข้ามาประชิดตัวฉัน แล้วพูดว่า “อานีไม่โกรธบังนะ”

พูดจบเขาก็โอบไหล่ฉัน ฉันมองหน้าเขา และโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็หอมแก้มฉัน “ไม่ได้นะ เดียวคนในบ้านจะเห็น” ฉันห้ามเขา “ไม่เห็นจะต้องอายตรงไหนเลย ยังไงๆ ก็เซาะห์แล้ว” เขาตอบกลับ

และฉันก็ตอบไปในทันทีว่า “ก็ถูกต้องในสิ่งที่บังได้ว่ามา แต่ให้ดูสถานที่ด้วยซิ ถ้าอยู่กันแค่ 2 คน บังจะทำเกินกว่านี้อานีก็ให้ได้” แล้วเขาก็หัวเราะ

หลังจากได้นิกาห์มา วันนี้ก็เป็นวันแรก ที่เราได้คุยหยอกล้อกัน ในฐานะผู้หญิงฉันรู้สึกมีความสุขมาก และถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชาย และดูเขาก็มีความใส่ใจกับฉันมาก

ความสุขเช่นนี้ ไช่ว่าใครๆ สามารถมีได้ สุขที่ได้ร่วมชีวิตกับคนที่รัก ช่างเป็นนิอมัติสำคัญที่อัลเลาะห์ได้ให้มา ยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่เซาะห์ ภายใต้บทบัญญัติทางศาสนาแล้ว ความสุขนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ชีวิตฉันไม่เคยมีความรักกับใคร แม้ในช่วงที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ที่เพื่อนๆ ฉันส่วนใหญ่เขามีกัน แต่ฉันไม่ แม้จะมีใครมาทำท่าสนใจอย่างไร ฉันก็ไม่สน เพราะสิ่งที่ฉันถือปฎิบัติมาโดยตลอดก็คือ รักแท้จะต้องเกิดขึ้นภายหลังการนิกาห์แล้วเท่านั้น

แต่ความรู้สึกในเบื้องลึกของคน คงยากนักที่จะอธิบายให้ใครได้เข้าใจ ยิ่งความรู้สึกของลูกผู้หญิง แม้วันนี้ฉันอยู่เคียงข้างเขา เขาคือชายผู้เป็นสามีฉัน แต่ฉันกลัว กลัวหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ต้องแบกรับภาระความเป็น “ภรรยาที่ซอลีหะฮ์” ภรรยาที่มีเกียรติในสายตาสามี และในบริบททางศาสนา

“อานี คิดอะไรอยู่” ถึงคราวที่ฉันต้องสะดุ้งต่อ เมื่อสามีมาลูบหัวฉัน ในขณะที่ฉันเหมือนหลุดอยู่ในภวังค์

“บัง ทำให้อานีตกใจ รู้หรือเปล่า” ฉันแกล้งพูดทำเป็นงอน ด้วยอยากรู้ว่าเขาจะง้อฉันอย่างไร

“โอ้ ฮาบีบี แค่นั้น ก็ทำเป็นโกรธหรือ” เขาพูดแล้วหยิกแก้มฉัน

และฉันก็ตอบเขาไปว่า “คืนนี้ บังนอนใต้เตียงคู่กับยุงก็แล้วกัน เพราะภรรยาของบัง เขาไม่สบอารมณ์กับบัง น่าสงสารจัง”

แล้วสามีฉันก็เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่า “อานี ตกลงเราจะไปฮันนี่มูนกันที่ไหนดี?”

ฉันตอบเขาว่า “อานีพร้อมไปทุกที่ สุดแท้แต่บังจะพาไป”

“ถ้าบังพาไปสู่ดวงดาว และดวงจันทร์ อานีจะตามไปกับบังไหม?” เขาตอบกับฉัน

“ถ้าบังมีเงินมากขนาดนั้น เราไปตั้งรกรากบนดาวดวงอื่นเลยดีไหม ?” ฉันตอบเขา แล้วเขาก็หัวเราะ

เมื่อจบเสียงหัวเราะเขาก็ถามฉันต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความใส่ใจว่า “ยาฮาบีบี ตกลงเราจะมีลูกกันกี่คน”

“แล้วบังต้องการกี่คนล่ะ” ฉันถามเขาต่อ

“บังต้องการให้มากที่สุด ว่าแต่อานีจะไหวหรือ?”

“เอ๊ะ บังเห็นอานีเป็นโรงงานผลิตลูกหรือไง?” ฉันตอบเขา

แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้งหนึ่ง ฉันดูเขาช่างเป็นคนที่หัวเราะง่ายจังเลย

แล้วเขาก็ตอบฉันว่า “ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เพียงแต่ว่าถ้าได้ลูกหลายๆ คนก็จะดี บังอยากได้ลูกหลายคน ทั้งลูกชายและลูกสาว อยากมีให้เท่าๆ กัน

ฉันตอบเขาว่า “อินซาอัลเลาะห์ถ้ามีริสกี อานีก็พร้อม”เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็เห็นสามีฉันยิ้มระรื่น แล้วพูดว่า “นี้แหละที่ทำให้บังเพิ่มความรู้สึกรัก และหวงต่ออานีเป็นกองเลย” พูดจบเขาก็หอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่ง

นิอมัตสำคัญของการเป็นลูกผู้หญิงก็คือการได้รับความรัก อย่างเต็มเปี่ยมจากผู้เป็นสามี ยิ่งคนดีๆ อย่างเขา ทำให้ฉันเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ผีเสื้อ ลำธาร น้ำผึ้ง บุหงา ลดามาลย์ และมีลมโชยพัดโรยระริน เป็นอาจิณตลอดกาล...

“อานี บัง ขึ้นมาทานข้าวก่อน” เสียงของแม่ดังมาจากบนบ้าน เรียกเราสองคนให้ขึ้นไปทานอาหารมื้อค่ำ

ฉันจูงมือสามี เดินขึ้นบ้าน พบว่าแม่ได้เตรียมอาหารพร้อมไว้แล้ว ทั้งพ่อและน้องๆ ก็นั่งกันพร้อมหน้า อาหารมื้อนี้คงจะเป็นมื้อที่พิเศษที่สุด เพราะนอกจากจะหิวมากๆ แล้ว เพราะต้องดูแลแขกที่มาในงาน เป็นงานแรกของบ้านนี้ แม้ไม่ได้จัดอย่างใหญ่โต แต่เพื่อนๆ ฉันทุกคนที่ทราบข่าว ต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีขาดเลยแม้ซักคนเดียว ฉันรู้สึกประทับใจกับเพื่อนๆ จริงๆ และที่สำคัญมื้อนี้ก็เป็นมื้อแรกที่ได้ทานร่วมกับเขา และทุกคนในครอบครัว ช่างเป็นมื้อที่พิเศษมาก

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (4)


ในห้องของฉัน ซึ่งฉันเป็นคนจัดเองทั้งหมด ฉันดูแล้วก็สวยงามใช่ย่อยเลย ฉันอดจะภูมิใจในฝีมือของตนเองไม่ได้

และห้องนี้ก็คือห้องของฉันกับเขาในคืนแรกนี้ คืนที่น่าจะเป็นคืนที่สวยงามที่สุดและพิเศษที่สุดสำหรับชีวิตของสามีภรรยา ในคืนแรกของฉันกับชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี

ฉันรู้สึกกลัว และ รู้สึกใจเต้นไม่เป็นปกติ พะวักพะวงกับสิ่งที่ต้องเป็นไป ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

และแล้วเสียงเคาะประตูห้องฉันก็ดังขึ้น ซึ่งก็เพิ่มความรู้สึกพะวักพะวง ตื่นเต้นและตกใจสำหรับฉันมากขึ้น

แน่นอนคนที่เข้ามาก็ไม่ไช่ใครที่ไหน หากแต่เขา สามีฉัน “เชิญเข้ามาประตูไม่ได้ล๊อค” ฉันบอกเขาไป

เขาเข้ามาและปิดประตูห้องเบาๆ แล้วก็ลงนั่งใกล้ฉัน

คำแรกที่เขาเอ๋ยกับฉัน “ทำไมดูซึมเศร้า ไม่ดีใจหรือที่ได้อยู่กับบัง”

ฉันทำได้แค่ส่ายหัว เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่เขาก็พยายามคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้

สุดท้ายฉันก็ตอบไปว่า “อานีกลัวบัง”

เขาเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น และเอาลูบไล้ผมของฉัน “มีอะไรที่ทำให้ต้องกลัวจากบังหรือ? เราจะต้องช่วย และร่วมมือกันเพื่อครอบครัวสากีนะห์”

เขาพยายามปลอบประโลมฉัน ฉันตอบเขาไปว่า “อานีกลัวว่าอานีไม่สามารถทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของบังได้ อานีอ่อนแอในหลายๆ อย่าง อานีคิดว่าซักวันหนึ่งบังจะรับอานีไม่ได้ อานีกลัว....”

ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบเขาก็เอานิ้วมาแตะปากฉัน ไม่อนุญาตให้ฉันได้พูดอีกต่อไป

“ยาฮาบีบี วันนี้อานีในฐานะภรรยาของบัง บังรับในทุกอย่างจากอานีเท่าที่อานีมี บังรับทุกอย่างจากสิ่งดีในตัวของอานี ซึ่งก็เท่ากับที่บังต้องรับทุกๆ อย่างจากความอ่อนด้อยในตัวของอานี จึงอย่าได้คิดอะไรมากเลยกับเรื่องของชีวิต และอย่าได้กังวลว่าบังจะไม่พอใจใดๆ กับอานี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และแสดงความใส่ใจอย่างสุดซึ้ง และฉันก็สนองตอบในสิ่งที่เสนอมา

“อานี บังต้องขอไปอาบน้ำก่อน เพราะรู้สึกเหนียวตัว” เขาบอกกับฉัน และฉันก็ลุกขึ้นไปเอาผ้าขนหนู และผ้าโสร่งในตู้ หยิบให้เขาเขารับผ้าขนหนูไป ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก่อนที่เดินเข้าห้องน้ำ เขาก็ก้มลงหอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่ง

คืนนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ก้อนเมฆหนาทึบบดบังทั้งแสงจันทร์และดวงดาว เสียงสัตว์กลางคืนเงียบหายไป มีแต่เสียงฟ้าร้อง จากที่ไกลๆ ผ่านห้องฉันเข้ามา อีกไม่นานฝนคงจะตกลงมา เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผืนดินและทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้

ฉันเพ่งพินิจไปในทุกส่วนของห้องนอนของฉัน ที่ฉันจัดและตกแต่งด้วยตนเองเท่าที่ความสามารถของตัวเองทำได้ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องน้ำฉันได้จัดเตรียมชุดนอนให้เขา และฉันเองก็เปลี่ยนชุดแต่งกายของตนเองรอสามี ด้วยใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ

แล้วซักครู่เขาก็ออกมาจากห้องน้ำ เขายิ้มมายังฉัน แล้วพูดว่า “โอ้ฮาบีบี ช่วยเอาน้ำให้บังซักแก้วซิ หิวน้ำเหลือเกิน"

ฉันหยิบชุดนอนให้กับเขา แล้วออกไปเอาน้ำจากในห้องครัว ฉันเหลือบไปดูนาฬิกาบนเพดาน ปรากฏว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

เมื่อเข้าห้องอีกครั้งหนึ่ง ฉันเห็นเขานั่งดุอาอบนสาญาดะห์ ด้วยถ้อยคำบางอย่างทีฉันไม่สามารถได้ยินได้

ฉันนั่งรอเขาบนเตียง รอจนกว่าเขาจะดุอาอเสร็จ และเมื่อเสร็จแล้วเขาก็ลุกขึ้นมานั่งชิดกับฉัน แล้วฉันก็ยื่นแก้วน้ำให้กับเขา

“บัง...” ฉันเรียกเขา “มีอะไรหรือ” เขาตอบกลับ ฉันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็จับจ้องมายังฉัน และใช้สายตาเพื่อคาดคั้นให้ฉันพูดออมาให้ได้

“คืนนี้บังจะ...จะ..” ฉันรู้สึกขัดเขินใจอย่างยิ่งที่จะพูดต่อให้จบ

“จะอะไรหรือ” เขาถามฉัน

“โอ้บังนิ..” ฉันรู้สึกอายตนเอง เมื่อคิดว่าเขาคงอ่านความคิดของฉันออกแล้วแล้วเขาก็กระซิบข้างหูฉันว่า
“ไช่ซิ คืนนี้ จะเป็นคืนที่พิเศษที่สุดสำหรับเราสองคน”

ฉันทำได้เพียงผงกหัวเบาๆ ด้วยคิดอยู่ในใจว่าในฐานะภรรยา ก็ต้องพร้อมสำหรับสิ่งที่เป็นความต้องการของสามี ฉันต้องพร้อมทั้งกายและใจเพื่อเขา ที่ไม่ขัดแย้งกับหลักซารีอะห์

“อัสสาลามูอาลัยกุม โอ้ประตูแห่งเราะห์มัต” เขากระซิบเบาๆ ข้างหูฉัน

และในทันใด ฉันก็ตอบเขาไปว่า “วาอาลัยกุมุสลาม สำหรับผู้ถือสิทธิที่มีเกียรติ”

ครั้งแรกในชีวิตฉันที่ได้ผ่านบรรยากาศในยามค่ำคืนกับคนที่เป็นสามี ตัวฉันคงเปรียบได้เสมือนท้องนา ที่เขาในฐานะผุ้ถือกรรมสิทธิ์ ที่มาปักและดำหว่าน...

ก่อนการแต่งงานฉันได้อ่านตำรับตำราที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตคู่หลายต่อหลายเล่ม ฉันจึงพยายามที่จะทำให้สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มา นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ฉันจะต้องเป็นภรรยาที่ดีที่สุดสำหรับสามีฉัน ฉันต้องทำให้สามีมีความสุขที่สุดที่ได้มาอยู่กับฉัน ฉันต้องเป็นเสมือนหนึ่งราชินีในบ้านที่ผูกพันทั้งกายและใจสำหรับผู้เป็นสามี

ท่านศาสดากล่าวว่า “ภรรยาที่ดีก็คือคนที่สามารถสร้างความสงบในสติอารมณ์ให้กับเจ้าได้ เมื่อเจ้าได้มองไปยังเธอ เธอต้องมีความภักดีต่อเจ้า เธอหมั่นดูแลและรักษาตนเอง และทรัพย์สินของเจ้าเมื่อเจ้าไม่อยู่”

ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า “เหล่าสตรีนั้นคือผู้ดูแลในบ้านของสามี และสิ่งนี้จะถูกถาม”

ท่านศาสดา ได้กล่าวไว้ว่า “ภรรยาที่ดีก็คือสิ่งที่ดีเลิศที่สุดเหนือสิ่งที่มีคุณค่าใด ๆ ในโลกนี้”

ท่านศาสดา ได้กล่าวไว้ว่า “แท้จริงแล้วสตรีที่ดี ก็คือสตรีที่สามารถให้ลูก สตรีที่ยิ่งใหญ่ในความรัก สตรีที่สามารถรักษาเรื่องราวภายในครัวเรือนได้ สตรีที่มีจิตใจอ่อนโยนกับทุกเรื่องราวในครอบครัว สตรีที่เคารพในตัวสามี สตรีที่หมั่นดูแลตนเองเพื่อสามี สตรีที่ควบคุมตนเองในการติดต่อใด ๆ กับชายอื่น....”

แท้จริงแล้ว การแต่งงาน และการมีครอบครัว หาไช่เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ใครๆ สามารถทำเป็นเรื่องธรรมดา ได้ การแต่งงานถือเป็นการฮาลาล สำหรับสิ่งที่เคยหะรอมสำหรับก่อนหน้านั้น สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจอย่างถึงแก่น ในครอบครัวจำเป็นที่จะต้องมีความอ่อนโยน โอนอ่อนผ่อนปรน และมีความเชื่อมั่นในระหว่างกัน ถ้าไม่ไช่เพราะสิ่งนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนทั้งสองเพศ ที่มาจากที่ต่างกัน บุคลิกภาพที่ไม่เหมือนกัน พื้นฐานทางการเลี้ยงดู การอบรม และการศึกษาที่ต่างกัน จะมาใช้ชีวิตร่วมกันได้

เพราะการดำรงชีวิตครอบครัว ก็ไม่ต่างอะไรกับการล่องเรือในมหาสมุทร ที่ไช่ว่าท้องทะเลจะราบเรียบตลอดเวลา บางช่วงบางตอนก็ต้องเจอกับคลื่นลมและมรสุม ...

ก่อนถึงวันนั้น อันเป็นช่วงจังหวะตอนที่สำคัญของชีวิต เราจึงต้องศึกษาในหลายๆ วิชาความรู้ ความรู้ที่เกี่ยวกับครอบครัว ความรู้ที่เกี่ยวกับการเป็นพ่อเป็นแม่ ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตวิทยาของเด็ก ๆ ฯลฯ จึงอย่าได้มีใครที่คิดเรื่องนี้ แต่ไม่พร้อมที่รับผิดชอบในทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา และชีวิตของคนที่จะมาร่วมเคียงข้างเรา

เราอย่าได้คิดถึงเรื่องของการสนองนัฟซูอย่างเดียว เราต้องคิดถึงความรับผิดชอบที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งในฐานะสามี ในฐานะภรรยา ในฐานะพ่อ และในฐานะแม่ เราสามารถรับผิดชอบในทุกเรื่องเหล่านี้ได้ไหม ซึ่งเป็นความรับผิดชอบทั้งในดนยาและต่อเบื้องหน้าของอัลเลาะห์ในวันอาคีเราะห์ความรับผิดชอบเหล่านั้น ถือเป็นอามานะห์ ที่ทุกคนมิอาจจะละเลยได้

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (5)

เสียงไอ ดังอย่างต่อเนื่องข้างเตียงฉัน ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา หลังจากที่หลับได้ไม่นาน ในคืนแรกคู่กับสามีฉัน

เมื่อลืมตาขึ้นมา ฉันก็เห็นเขานั่งอยู่บนซาญาดะห์ พร้อมกับอาการไอ ไม่หยุด ฉันดูแล้วรู้สึกผิดปกติอย่างยิ่ง อาการที่เกิดขึ้นนี้คงไม่ไช่เล็กน้อย ฉันเห็นเขาเอามือบีบที่หน้าอก

ฉันลุกขึ้นมา ลงจากเตียงแล้วเข้าไปใกล้เขา“บังเป็นอะไรนิ” ฉันถามเขา และรู้สึกกังวลมาก เกรงว่าเขาจะมีโรคอะไร ที่ฉันยังไม่รู้

“บังไม่ได้เป็นอะไรมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวไปก็ได้” เขาตอบฉันเราเงียบชั่วเวลาหนึ่ง

แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “อานีไปอาบน้ำเถิด พ่อแม่ และน้องๆ กำลังรอละหมาดพร้อมกับเราข้างนอก”เขาบอกกับฉันแล้วยิ้ม พร้อมกับเพ่งมองมาที่ตัวฉัน ทำเอาฉันต้องอาย และหลุดคำพูดออกไปว่า “ทะลึ่งจริงๆ เลยบังนิ”

ในตอนที่ฉันยังอยู่ในห้องน้ำ ก็ยังได้ยินเสียงไอจากเขาอยู่

ในที่ละหมาดของบ้าน คุณพ่อฉันขยั้นขยอให้เขาเป็นอีมามนำการละหมาดอีกต่อไป แม้เขาจะบ่ายเบี่ยงโดยอ้างถึงสุขภาพก็ตาม แต่พ่อฉันก็ยืนกรานให้เขานำละหมาดให้ได้

สุดท้ายเขาก็ต้องยอมตามพ่อฉันในตอนละหมาด ซึ่งเป็นไปอย่างไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เพราะเขายังไอไม่หยุด ทำให้การอ่านซูเราะห์ขาดหายไปบ้าง บางครั้งก็ต้องเริ่มอ่านใหม่

ฉันเริ่มกังวลมากขึ้นละหมาดเสร็จเขาอ่านดุอา ถึงแม้เสียงเขาตอนนี้จะเบามาก แต่ฉันก็พอได้ยิน ฉันดูหน้าเขาค่อนข้างจะซีด ฉันถามถึงอาการของเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังยืนยันไม่ได้เป็นอะไรมาก โดยอ้างถึงอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวมากเมื่อคืนนี้

คุณพ่อและแม่ฉันก็ดูกังวลไม่ต่างกัน แม่บอกให้ฉันเอายาแก้ไอจากตู้ยาในบ้านมาให้เขาฉันป้อนยาน้ำสำหรับแก้ไอให้เขา และให้เขาดื่มน้ำตาม เขากล่าวขอบคุณ แล้วฉันก็บอกเขาให้เข้าห้องเพื่อพักผ่อน

แต่ก่อนที่เขาจะเอนกายนอน เขาพูดกับฉันว่า “บังขอมาอัฟด้วย ที่สร้างภาระให้กับอานี”

“ทำไมบังพูดเช่นนั้น อานีไม่ได้ลำบากอะไรเลย แม้ซักนิดเดียว” ฉันตอบเขา เขาตอบฉันว่า “บังรู้ว่า อานีต้องลำบากใจไม่น้อยกับอาการของบังที่ต้องเป็นอย่างนี้ ที่จริงแล้ว สำหรับวันแรกนี้ บังต้องทำให้อานีมีความสุขมากกว่านี้ แต่เมื่อสุขภาพไม่เอื้ออำนวย บังต้องขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกบัง อานีในฐานะภรรยา อานีต้องพร้อมเสมอสำหรับทุกอย่างจากบัง” ฉันตอบเพื่อเอาใจเขา แม้ว่าในส่วนลึกของใจฉัน มีความรู้สึกที่วิตกกังวลอย่างยิ่งเขาคงเห็นถึงความกังวลของฉัน

เขาพูดว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บังคนนี้รักอานีเสมอ อานีคือหนึ่งเดียวในใจบัง”

ฉันบอกเขาอีกว่า “นอนเถิดบัง ไม่ต้องกังวลถึงอานีหรอก” แล้วฉันก็ดึงผ้าเอามาห่มตัวเขา และก้มลงจูบที่หน้าผากฉันดูเขาทำท่าจะเหนื่อยเอามากๆ ก่อนที่เขาจะหลับ ฉันได้ยินเขาพูดพึมพำไม่ค่อยจะได้ความนัก แต่ที่ชัดเจนก็คือ ให้ฉันมาอัฟให้กับเขา

ฉันมองหน้าสามีอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ในตอนที่เขาหลับ ในท่าที่สงบและเรียบร้อย ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่ได้มองไปยังเขา หน้าตาของเขาอยู่ในขั้นดีมาก ๆ ใบหน้าที่ผ่องใส ทั้งหนวดและเคราถูกดูแลอย่างดี อารมณ์ของลูกผู้หญิงเช่นฉัน บอกกับฉันว่า ประทับใจจริงๆ และรู้สึกชอบเขามากๆ

ก่อนที่จะลุกออกจากเตียง ฉันไม่ลืมที่จะดุอาอต่ออัลเลาะห์ ขอให้ชีวิตครอบครัวฉัน จงมั่นคง และยั่งยืนตลอดชั่วชีวิต

แต่ตักดีรจากอัลเลาะห์ ไม่มีใครสามารถฝืนได้ กอฎอและกอดัรจากพระองค์ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องยอมรับ ทั้งเกิด ตาย ริสกี ดีและชั่ว ของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วนับตั้งแต่เขาอยู่ในท้องของมารดาฉันในฐานะบ่าวของพระองค์ที่อ่อนแอ จะต้องยอมรับกับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วนี้ ด้วยไจที่สงบ และเต็มไปด้วยความภักดีต่ออัลเลาะห์ อย่างไม่คลอนแคลน

ในตอนที่ฉันปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาเพื่อทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคนในครอบครัว หลายครั้งที่ฉันเรียกชื่อเขา แต่เขาเงียบ ฉันจับและเขย่าตัวเขาเบาๆ ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ฉันเขย่าแรงขึ้น เขาก็เงียบ ฉันจับมือเขา เย็นเชียบ จับชีพจร ก็เงียบ ...

“ม๊ะ” ฉันเรียกแม่สุดเสียง แล้วฉันก็ร้องให้ ด้วยใจที่รวดร้าวสุดที่จะควบคุมตนเองไว้ได้ ทุกคนเข้ามาในห้อง และมองไปยังเขา กับร่างกายที่วิญญาณถูกปลิดปลิวไปแล้ว

ใครจะไปคาดคิดว่า วันแรกที่ฉันได้อยู่กับสามีที่เพิ่งจะได้รู้จัก จะเป็นวันสุดท้ายด้วยฉันได้รู้จักเขาเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เขาได้จากฉันไปตลอดชีวิตแล้ว มิน่าล่ะเขาถึงได้ขอมาอัฟจากฉันหลายครั้ง

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก (6)

“จงซูโกรต่ออัลเลาะห์เถิดอานี เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีเด็กคนนี้” แม่พูดเพื่อปลอบใจฉัน ในวันนี้ วันที่ฉันคลอดลูกคนนี้ ลูกของเขาที่ได้จากฉันเมื่อหลายเดือนที่แล้ว

วันนี้ทายาทจากสามีฉันลืมตาดูโลกนี้ฉันมองไปยังลูกชายของฉัน ที่หลับสนิทข้างกายฉัน.

นี้แหละตักดีรจากอัลเลาะห์ แค่คืนแรก ทุกอย่างก็ลงเอยอย่างนี้

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ฉันจะโอบอุ้ม ปกป้องและคุ้มครองเด็กน้อยคนนี้ เท่าชีวิตของฉัน จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นหรือมาบั่นทอนรักที่ฉันมีให้ลูกนี้ ตราบเท่าจบสิ้นชีวิตดนยาของฉัน.

โอ้ อัลเลาะห์ จงนำวิญญานเขาให้ได้อยู่คู่กับเหล่าซอลีฮีน

โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ลูกชายฉันคนนี้ เป็นเสมือนอัญมณีคู่กับทุกคนในครอบครัวฉัน ให้ความสุขกับฉัน และทุกคนใน ครอบครัว

โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ความรักและคุ้มครองต่อลูกฉันนี้ จงให้เหมือนกับพ่อเขาที่ภักดีต่อพระองค์เสมอ

โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ลูกฉันคนนี้ จงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อศาสนาของพระองค์ และร่วมอุทิศตัวเองเพื่อความสว่างไสว ของอิสลามอามีน....